การออกกำลังกายมีอะไรบ้าง แนะนำ 4 ประเภทหลักที่ช่วยพัฒนาร่างกาย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงนี้สุขภาพและความฟิตเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ หลายคนตั้งใจจะเริ่มต้นออกกำลังกาย แต่กลับสงสัยว่าการออกกำลังกายมีอะไรบ้าง ควรเลือกออกกำลังกายแบบไหนถึงจะเหมาะกับตัวเอง และจะได้ประโยชน์อย่างครบถ้วน
ความจริงแล้ว การออกกำลังกายมีหลากหลายรูปแบบ และให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน การรู้จักทั้ง 4 ประเภทหลักของการออกกำลังกายจะช่วยให้คุณวางแผนการออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจ สร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่น หรือพัฒนาการทรงตัว
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 4 ประเภทของการออกกำลังกายหลัก พร้อมตัวอย่างกิจกรรมการออกกำลังกายในแต่ละประเภท รวมถึงการเลือกออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงอายุ เพื่อให้คุณสามารถพัฒนาร่างกายได้อย่างครบถ้วนและปลอดภัย
การออกกำลังกาย คืออะไร
การออกกำลังกาย คือกิจกรรมทางกายที่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างมีแบบแผน มีจุดมุ่งหมาย และทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาและรักษาสมรรถภาพทางกายให้แข็งแรง ซึ่งแตกต่างจากกิจกรรมทางกายทั่วไป เช่น การเดิน การทำงานบ้าน ที่เป็นการเคลื่อนไหวตามปกติของชีวิตประจำวัน
การออกกำลังกายที่ดีควรมีความหลากหลายและครอบคลุมทุกมิติของสมรรถภาพทางกาย ไม่ใช่เพียงแค่การวิ่งหรือยกน้ำหนักอย่างเดียว แต่ควรรวมถึงการพัฒนาความแข็งแรงของหัวใจและปอด กล้ามเนื้อ ความยืดหยุ่นของร่างกาย และการทรงตัว
การออกกำลังกายมีมากมายหลายรูปแบบ ตั้งแต่กิจกรรมเบา ๆ อย่างการเดิน โยคะ ไปจนถึงกิจกรรมที่เข้มข้นอย่างการวิ่ง กระโดดเชือก หรือ HIIT การเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ความพร้อมของร่างกาย และความชอบของแต่ละบุคคล
4 ประเภทการออกกำลังกาย ที่ควรรู้จักมีอะไรบ้าง
การออกกำลังกายที่สมบูรณ์แบบควรครอบคลุมทุกมิติของสมรรถภาพทางกาย ไม่ใช่เพียงแค่การวิ่งหรือยกน้ำหนักอย่างเดียว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผสมผสาน 4 ประเภทหลัก ได้แก่ แอโรบิก ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และการทรงตัว เพื่อพัฒนาร่างกายอย่างรอบด้านและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise/Cardio)

การออกกำลังกายแบบแอโรบิก หรือที่เรียกกันว่า "คาร์ดิโอ" (Cardio) เป็นประเภทของการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจและปอดทำงานหนักขึ้น โดยใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงาน กิจกรรมนี้จะทำให้หายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น และเหงื่อออก
ประโยชน์ของการออกกำลังกายประเภทนี้:
- เสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจและปอด ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น
- ช่วยเผาผลาญไขมันและควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วน
- ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคเรื้อรัง
- เพิ่มความอดทนของร่างกาย ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย
ตัวอย่างของการออกกำลังกายประเภทนี้:
- การวิ่ง/จ็อกกิ้ง - ออกกำลังกายกลางแจ้งที่ไม่ต้องลงทุน เผาผลาญแคลอรี่สูง
- การเดินเร็ว - เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือผู้สูงอายุ ปลอดภัยและทำได้ง่าย
- การว่ายน้ำ - ออกกำลังกายได้ทั้งตัว ไม่กระทบกระเทือนข้อต่อ
- การปั่นจักรยาน - ทั้งจักรยานธรรมดาและจักรยานนิ่ง ดีต่อข้อเข่า
- การเต้นแอโรบิก - สนุก มีดนตรีประกอบ ออกกำลังกายเป็นกลุ่ม
- การกระโดดเชือก - เผาผลาญแคลอรี่สูงมาก ทำได้ที่บ้าน
- การเล่นกีฬา - เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล แบดมินตัน เทนนิส
การออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Training)

การออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หรือที่เรียกว่า "เวทเทรนนิ่ง" (Weight Training) เป็นประเภทของการออกกำลังกายที่ใช้แรงต้าน (Resistance) เพื่อสร้างและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แรงต้านอาจมาจากน้ำหนักตัว ดัมเบล บาร์เบล เครื่องออกกำลังกาย หรือยางยืด
ประโยชน์ของการออกกำลังกายประเภทนี้:
- เพิ่มมวลและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายกระชับ
- เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน
- เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน (BMR) ช่วยลดน้ำหนักได้ดีขึ้น
- ปรับปรุงท่าทาง ลดอาการปวดหลัง
- เพิ่มความแข็งแรงของเอ็นและข้อต่อ ลดการบาดเจ็บ
ตัวอย่างของการออกกำลังกายประเภทนี้:
- การยกน้ำหนักอิสระ - ดัมเบล บาร์เบล เคตเทิลเบล พัฒนากล้ามเนื้อและการทรงตัว
- การใช้เครื่องออกกำลังกาย - เหมาะกับผู้เริ่มต้น ปลอดภัย ควบคุมท่าได้ง่าย
- Bodyweight Training - Push-up, Pull-up, Squat, Plank ไม่ต้องใช้อุปกรณ์
- Resistance Band - ใช้ยางยืด เหมาะกับการออกกำลังกายที่บ้าน
- TRX/Suspension Training - ใช้สายแขวนฝึก ท้าทายการทรงตัว
- Functional Training - ฝึกการเคลื่อนไหวที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
- CrossFit - ผสมผสานหลายรูปแบบ เน้นความเข้มข้นสูง
การออกกำลังกายเพื่อความยืดหยุ่น (Flexibility Exercise)

การออกกำลังกายเพื่อความยืดหยุ่น เป็นกิจกรรมการออกกำลังกายที่เน้นไปที่การยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเอ็น เพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อและความยืดหยุ่นของร่างกาย การออกกำลังกายประเภทนี้มักถูกมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วสำคัญมากสำหรับการรักษาสุขภาพและป้องกันการบาดเจ็บ
ประโยชน์ของการออกกำลังกายประเภทนี้:
- เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ขยายช่วงการเคลื่อนไหว
- ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเมื่อย
- ปรับปรุงท่าทางและการทรงตัว ลดอาการปวดหลัง
- ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมประจำวัน
- ช่วยผ่อนคลายความเครียด ลดความตึงเครียดของร่างกายและจิตใจ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายประเภทอื่น
ตัวอย่างของการออกกำลังกายประเภทนี้:
- Static Stretching - การยืดแบบคงที่ ค้างท่า 15-60 วินาที
- Dynamic Stretching - การยืดแบบเคลื่อนไหว เหมาะสำหรับ Warm-up
- โยคะ (Yoga) - ผสมผสานการยืด การทรงตัว และการหายใจ
- Pilates - เน้นกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core) ความแข็งแรงและความยืดหยุ่น
- Tai Chi - ศิลปะการต่อสู้จีนที่เน้นการเคลื่อนไหวช้าและนุ่มนวล
- PNF Stretching - การยืดแบบมีการหดตัวก่อนยืด เพิ่มประสิทธิภาพ
- Foam Rolling - ใช้โฟมโรลเลอร์นวดกล้ามเนื้อ คลายจุดตึง
การออกกำลังกายเพื่อการทรงตัว (Balance Exercise)

การออกกำลังกายเพื่อการทรงตัวเป็นกิจกรรมการออกกำลังกายที่ช่วยฝึกระบบประสาทและกล้ามเนื้อให้ทำงานร่วมกันในการรักษาศูนย์ถ่วงของร่างกาย การทรงตัวที่ดีช่วยป้องกันการล้มและการบาดเจ็บ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
ประโยชน์ของการออกกำลังกายประเภทนี้:
- ปรับปรุงความสามารถในการทรงตัวและการประสานงานของร่างกาย
- ลดความเสี่ยงต่อการล้มและการบาดเจ็บ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
- เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Muscles)
- ปรับปรุงท่าทางและการยืน การเดิน ที่ถูกต้อง
- เพิ่มความมั่นใจในการเคลื่อนไหวและการทำกิจกรรมประจำวัน
- ฝึกสมาธิและความตระหนักรู้ต่อร่างกาย
- ชะลอการเสื่อมถอยของการทรงตัวตามอายุ
ตัวอย่างของการออกกำลังกายประเภทนี้:
- การยืนขาเดียว - ยืดขาหนึ่งออกไปข้างหน้า ข้างหลัง หรือด้านข้าง
- Heel-to-Toe Walk - เดินให้ส้นเท้าแตะปลายเท้า เหมือนเดินบนเส้น
- Balance Board/Bosu Ball - ยืนบนพื้นผิวที่ไม่มั่นคง ท้าทายการทรงตัว
- Tai Chi - ศิลปะการต่อสู้ที่เน้นการเคลื่อนไหวช้าและการทรงตัว
- โยคะท่าทรงตัว - เช่น Tree Pose, Warrior Pose, Eagle Pose
- Single-leg Deadlift - ยกน้ำหนักด้วยขาเดียว ฝึกทั้งความแข็งแรงและทรงตัว
- Stability Ball Exercises - ใช้บอลใหญ่ในการฝึก เพิ่มความท้าทาย
อยากออกกำลังกายให้เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ ต้องออกแบบไหน
การออกกำลังกายในแต่ละช่วงวัยมีความต้องการที่แตกต่างกันตามสภาพร่างกายและความสามารถ การเลือกออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัยจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย
เด็กและวัยรุ่น (5-17 ปี)
เด็กและวัยรุ่นอยู่ในช่วงเจริญเติบโต การออกกำลังกายจึงสำคัญมากต่อการพัฒนาร่างกายและสมอง องค์การอนามัยโลกแนะนำให้เด็กออกกำลังกายระดับปานกลางถึงหนักอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน การออกกำลังกายของเด็กควรสนุก หลากหลาย และเหมาะสมกับวัย ไม่ควรบังคับหรือเน้นการแข่งขันมากเกินไป
การออกกำลังกายช่วยพัฒนากระดูกและกล้ามเนื้อ เพิ่มสมรรถภาพทางกาย ปรับปรุงทักษะการเคลื่อนไหว ส่งเสริมสุขภาพจิต ลดความเครียด และป้องกันโรคอ้วนในเด็ก นอกจากนี้ยังช่วยสร้างนิสัยการออกกำลังกายที่ดีตั้งแต่เยาว์วัย ประเภทของการออกกำลังกายที่แนะนำ เช่น การเล่นกลางแจ้ง กีฬาประเภททีม ฟุตบอล บาสเก็ตบอล วอลเลย์บอล
ผู้ใหญ่ (18-64 ปี)
ผู้ใหญ่วัยทำงานมักมีปัญหาเรื่องเวลาและความเครียดจากงาน การออกกำลังกายจึงสำคัญมากในการรักษาสุขภาพทั้งกายและใจ ผู้ใหญ่ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับปานกลาง 150-300 นาทีต่อสัปดาห์ หรือระดับหนัก 75-150 นาทีต่อสัปดาห์ พร้อมกับมีกิจกรรมการออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ เช่น คาร์ดิโอ (วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แอโรบิก) เวทเทรนนิ่ง (ยกน้ำหนัก Bodyweight Training Functional Training)
ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป)
ผู้สูงอายุควรให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายเพื่อรักษาความแข็งแรงของร่างกาย ป้องกันการล้ม และรักษาความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างอิสระ แนะนำให้ออกกำลังกายระดับปานกลาง 150-300 นาทีต่อสัปดาห์ พร้อมกับมีกิจกรรมการออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงอย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ และควรเน้นกิจกรรมฝึกการทรงตัวอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ เช่น การเดิน เดินเร็ว การเดินในน้ำ Nordic Walking Tai Chi โยคะ การยืดเหยียด เวทเทรนนิ่งเบา ๆ ใช้น้ำหนักเบา ยางยืด
ปัจจัยเสริมที่ทำให้การออกกำลังกายได้ผลดีมีอะไรบ้าง
การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพ ปัจจัยเสริมอื่น ๆ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกายและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้น
โภชนาการที่เหมาะสม
การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องมาคู่กับโภชนาการที่เหมาะสมจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี ร่างกายต้องการสารอาหารที่เหมาะสมทั้งก่อน ระหว่าง และหลังออกกำลังกาย เพื่อให้มีพลังงานในการออกแรง ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูร่างกาย
หลักการกินที่ดีควรเน้นอาหารครบ 5 หมู่ มีผักผลไม้เยอะ เลือกโปรตีนจากเนื้อไม่ติดมัน ปลา ไข่ ถั่ว เลือกคาร์โบไฮเดรตที่ดี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ธัญพืช หลีกเลี่ยงน้ำตาล ไขมันไม่ดี และอาหารแปรรูป
ความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย
ความสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้การออกกำลังกายเห็นผล การออกกำลังกายหนักมากในวันเดียวแล้วหยุดเป็นสัปดาห์ไม่มีประโยชน์เท่ากับการออกกำลังกายปานกลางแต่สม่ำเสมอทุกวัน ร่างกายต้องการการกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับตัวและพัฒนา
หากพลาดไปบ้างไม่เป็นไร อย่าท้อแท้ กลับมาเริ่มใหม่เสมอ การสร้างนิสัยใหม่ต้องใช้เวลาประมาณ 21-66 วัน ใจเย็นและมุ่งมั่น ผลลัพธ์ที่ดีจะตามมา
การพักผ่อนที่เพียงพอ
การพักผ่อนเป็นส่วนสำคัญที่หลายคนมองข้าม ขณะที่เราพัก ร่างกายจึงมีเวลาซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายจากการออกกำลังกาย สร้างกล้ามเนื้อใหม่ และฟื้นฟูพลังงาน การนอนหลับที่เพียงพอ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนสำหรับผู้ใหญ่เป็นสิ่งจำเป็น
การดื่มน้ำที่เพียงพอ
ก่อนออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำประมาณ 400-600 มล. (2-3 แก้ว) ประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อน และดื่มอีก 200-300 มล. (1-1.5 แก้ว) ประมาณ 15-30 นาทีก่อนเริ่ม ระหว่างออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำทุก ๆ 15-20 นาที ประมาณ 200-300 มล. หากออกกำลังกายนานเกิน 1 ชั่วโมงหรือออกแรงหนักมาก อาจต้องการเครื่องดื่มเกลือแร่
ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าการออกกำลังกายมีอะไรบ้าง และเข้าใจประเภทของการออกกำลังกายทั้ง 4 ประเภทหลัก ได้แก่ แอโรบิก เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ความยืดหยุ่น และการทรงตัว แต่ละประเภทมีประโยชน์ที่แตกต่างกันและเสริมซึ่งกันและกัน
เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยกิจกรรมที่ชอบและทำได้ ค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นและระยะเวลาตามความสามารถ ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและทำได้จริง ฟังเสียงร่างกายและหยุดพักเมื่อจำเป็น หากมีโรคประจำตัวหรือข้อจำกัดทางสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกาย
Reference:
- https://www.lovefitt.com/exercise/ประเภทของการออกกำลังกาย/
- https://multimedia.anamai.moph.go.th/help-knowledgs/run-2/
- https://www.paolohospital.com/th-TH/chokchai4/Article/Details/เทคนิค--ออกกำลังกาย--ตามช่วงอายุ
- https://www.thaihealth.or.th/การออกกำลังกายในวัยต่า/
- https://www.apollohospitals.com/th/health-library/cardio-strength-training-flexibility-and-balance-the-4-types-of-exercise-and-their-benefits


