Ajinomoto Thailand

อ่อนเพลียไม่มีแรงกินอะไรดี? 10 อาหารคืนพลังให้ร่างกายสดชื่นทั้งวัน

12/12/2025
eye
1131
|

ความรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย หรือรู้สึกเหมือนแบตเตอรี่ร่างกายใกล้จะหมดเป็นปัญหาที่หลายคนเผชิญในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะการทำงานหนัก นอนไม่พอ หรือความเครียดสะสม อาการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทำให้ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และไม่มีกำลังใจทำกิจกรรมต่าง ๆ

หลายคนอาจเลือกดื่มเครื่องดื่มชูกำลังหรือกาแฟเป็นทางออกชั่วคราว แต่วิธีการเหล่านี้ให้พลังงานได้เพียงระยะสั้น และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว สิ่งที่ร่างกายต้องการจริง ๆ คืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่ช่วยเติมพลังงานอย่างยั่งยืนและบำรุงร่างกายอย่างแท้จริง

บทความนี้จะมาแนะนำ 10 อาหารที่ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย พร้อมเมนูอาหารแนะนำ วิธีดูแลตัวเอง และสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้คุณมีพลังงานเต็มเปี่ยมตลอดทั้งวัน!

ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เกิดจากอะไร?

ความอ่อนเพลียไม่ใช่แค่เรื่องของความเหนื่อยล้าธรรมดา แต่เป็นสัญญาณที่ร่างกายส่งมาบอกว่ามีบางอย่างไม่สมดุล สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

  • การขาดสารอาหารที่จำเป็น ร่างกายต้องการสารอาหารหลายชนิดในการผลิตพลังงาน เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันดี วิตามินบีรวม เหล็ก และแมกนีเซียม หากขาดสารอาหารเหล่านี้ กระบวนการผลิตพลังงานในเซลล์จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย
  • การนอนหลับไม่เพียงพอหรือนอนไม่มีคุณภาพ ผู้ใหญ่ควรนอนวันละ 7-9 ชั่วโมง การนอนน้อยกว่านี้หรือนอนไม่สนิทจะทำให้ร่างกายไม่มีเวลาฟื้นฟูและเติมพลังงาน 
  • ความเครียดเรื้อรัง เมื่อเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะยาวจะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา ความเครียดยังส่งผลต่อการนอนหลับ ทำให้เกิดเป็นวงจรของความเหนื่อยล้า
  • การขาดน้ำ น้ำมีบทบาทสำคัญในทุกกระบวนการของร่างกาย การขาดน้ำแม้เพียงเล็กน้อย (1-2% ของน้ำหนักตัว) ก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า ปวดหัว สมาธิไม่ดี และอารมณ์แปรปรวน
  • โรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ หรือภาวะซึมเศร้า ล้วนทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง หากคุณพักผ่อนเพียงพอและกินอาหารดีแล้วยังอ่อนเพลียต่อเนื่อง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

พฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีอะไรบ้าง?

นอกจากสาเหตุทางกายภาพแล้ว พฤติกรรมในชีวิตประจำวันหลายอย่างก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ร่างกายขาดพลัง บางทีเราอาจทำโดยไม่รู้ตัว แต่พอรู้แล้วก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ มาดูกันว่ามีพฤติกรรมใดบ้างที่ควรระวัง

  • ไม่ออกกำลังกายหรือนั่งนิ่งเกินไป การออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มพลังงาน ช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือด เพิ่มออกซิเจนในร่างกาย และกระตุ้นการทำงานของไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิต พลังงานของเซลล์ในร่างกาย
  • กินอาหารไม่ตรงเวลาหรืออดมื้อ การข้ามมื้ออาหาร โดยเฉพาะมื้อเช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ร่างกายไม่มีพลังงานเพียงพอ ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย 
  • ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน แสงสีน้ำเงินจากมือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ จะยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้หลับ ทำให้นอนยาก นอนไม่สนิท และตื่นมาไม่สดชื่น
  • ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ แม้แอลกอฮอล์จะช่วยให้หลับ ง่ายขึ้น แต่มันทำลายคุณภาพการนอน ทำให้นอนไม่ลึก ตื่นบ่อยในตอนกลางคืน และตื่นมารู้สึกเหนื่อยล้า 
  • ทำหลายอย่างพร้อมกัน (Multi tasking) มากเกินไป การพยายามทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันทำให้สมองต้องทำงานหนักและใช้พลังงานมาก ส่งผลให้เหนื่อยล้าเร็วกว่าปกติ 

10 อาหารและสารอาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลียมีอะไรบ้าง?

อาหารเป็นเชื้อเพลิงของร่างกาย การเลือกกินอาหารที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณมีพลังงานที่ยั่งยืน เราจะมาตอบคำถามที่ว่าร่างกายอ่อนเพลียไม่มีแรงกินอะไรดี มาดูกันว่าอาหารไหนบ้างที่ช่วยคืนพลังให้ร่างกายได้จริง

  1. กล้วย

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย กล้วย

กล้วยเป็นแหล่งพลังงานธรรมชาติที่เยี่ยม มีคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่ายให้พลังงานเร็ว อุดมไปด้วยโพแทสเซียม วิตามินบี 6 และใยอาหาร โพแทสเซียมช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท ขณะที่วิตามินบี 6 ช่วยเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน เหมาะกินก่อนหรือหลังออกกำลังกาย หรือเป็นของว่างเพื่อเติมพลังระหว่างวัน

  1. ข้าวโอ๊ต

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ข้าวโอ๊ต

ข้าวโอ๊ตเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยช้า ให้พลังงานอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งแล้วตกต่ำอย่างรวดเร็ว มีเบต้ากลูแคนที่ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด วิตามินบีรวม แมกนีเซียม และเหล็ก ซึ่งล้วนช่วยในการผลิตพลังงาน เหมาะเป็นอาหารเช้าที่ช่วยให้มีพลังทำงานตลอดช่วงเช้า

  1. ไข่

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ไข่

ไข่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่มีกรดอะมิโนครบถ้วน ช่วยให้อิ่มนานและมีพลังงานที่ยั่งยืน มีวิตามินบีรวม โดยเฉพาะบี 12 ที่สำคัญต่อการผลิตพลังงานและการทำงานของระบบประสาท ไข่แดงมีโคลีน ช่วยเพิ่มสมรรถภาพสมอง และมีวิตามินดีที่ช่วยลดความเหนื่อยล้า กินได้ทั้งต้ม ลวก หรือทอด ตามชอบ

  1. ผักใบเขียวเข้ม

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ผักใบเขียวเข้ม 

ผักใบเขียวเข้มอย่างผักโขม คะน้า ผักกาดหอม อุดมไปด้วยเหล็ก แมกนีเซียม โฟเลต และวิตามินบีรวม ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความอ่อนเพลีย แมกนีเซียมช่วยในการผลิตพลังงานและการทำงานของกล้ามเนื้อ ผักใบเขียวยังมีไนเตรทที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและออกซิเจนในร่างกาย

  1. ปลาทะเล

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ปลาทะเล

ปลาทะเลอย่างแซลมอน ทูน่า ซาบะ อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 โปรตีนคุณภาพสูง วิตามินบี 12 และวิตามินดี โอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบ เพิ่มการไหลเวียนเลือด และปรับปรุงการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิดีขึ้น โปรตีนให้พลังงานที่ยาวนาน ควรกินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

  1. ถั่วและเมล็ดพืช

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ถั่วและเมล็ดพืช

ถั่วและเมล็ดพืชเป็นแหล่งโปรตีน ไขมันดี ใยอาหาร แมกนีเซียม และวิตามินอี ให้พลังงานที่ยาวนานและช่วยให้อิ่มนาน แมกนีเซียมจะช่วยเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน ลดความเครียด และปรับปรุงคุณภาพการนอน ถั่วและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์, ถั่ววอลนัท, เมล็ดเจีย และ เมล็ดฟักทอง ล้วนเป็นตัวเลือกที่ดี เหมาะเป็นของว่างระหว่างวัน

  1. น้ำ

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย น้ำ

การขาดน้ำแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า ปวดหัว และสมาธิไม่ดี น้ำช่วยในการขนส่งสารอาหารไปยังเซลล์ กำจัดของเสีย และควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน หรือมากกว่านั้นถ้าอากาศร้อนหรือออกกำลังกาย

  1. ชา (โดยเฉพาะชาเขียว)

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ชา (โดยเฉพาะชาเขียว)

ชาเขียวมีคาเฟอีนในปริมาณพอเหมาะที่ช่วยเพิ่มความตื่นตัวโดยไม่ทำให้หัวใจเต้นเร็วหรือประหม่าเหมือนกาแฟ มี แอลธีอะนีน (L-theanine) ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและมีสมาธิ ทำงานร่วมกับคาเฟอีนได้ดี

  1. มันเทศ

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย มันเทศ

มันเทศเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยช้า ให้พลังงานอย่างยาวนานอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี แมงกานีส และใยอาหาร ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้ผันผวน ทำให้มีพลังงานคงที่ตลอดวัน เหมาะทานแทนข้าวหรือเป็นของว่าง

  1. กรีกโยเกิร์ต

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย กรีกโยเกิร์ต

กรีกโยเกิร์ตมีโปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตธรรมดา ให้พลังงานที่ยาวนานและช่วยให้อิ่มนาน มีโปรไบโอติกที่ดีต่อลำไส้ ช่วยในการดูดซึมสารอาหาร และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

เมนูอาหารแนะนำสำหรับคนอ่อนเพลียมีอะไรบ้าง?

มาดูตัวอย่างเมนูอาหารที่จะช่วยลดอาการอ่อนเพลีย ทำให้คุณมีพลังงานอย่างต่อเนื่อง ไม่เหนื่อยง่าย และสดชื่นตลอดทั้งวัน

มื้อเช้า

ไข่ตุ๋นจักรพรรดิ์

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ไข่ตุ๋นจักรพรรดิ์

  • ส่วนประกอบหลัก: ไข่ไก่ 3 ฟอง, ไข่ไก่ (เฉพาะไข่ขาว) 100 กรัม, หมูสับ 60 กรัม, เห็ดเข็มทองหั่นท่อน 30 กรัม, แครอทหั่นเต๋า 30 กรัม
  • วิธีทำ: ผสมไข่กับน้ำและซอสโชยุญี่ปุ่น คนให้เข้ากัน เติมหมูสับและผัก นำไปนึ่งประมาณ 20 นาที แต่งหน้าด้วยไข่แดงเค็ม ไข่เยี่ยวม้า และน้ำแดง

หรือ ข้าวต้มปลา + ไข่ต้ม

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ข้าวต้มปลา + ไข่ต้ม

  • ส่วนประกอบหลัก: ข้าวต้ม 200 กรัม, เนื้อปลากะพงหั่นชิ้น 150 กรัม, น้ำซุปปลา 500 กรัม, ไข่ต้ม 1 ฟอง
  • วิธีทำ: ต้มน้ำซุปปลาให้เดือด ใส่เนื้อปลา ปรุงรสด้วยรสดีซุปก้อนรสไก่ ตักข้าวต้มใส่ชาม วางเนื้อปลา เติมน้ำซุป และเสิร์ฟพร้อมไข่ต้ม

มื้อเที่ยง

ข้าวผัดปลาทูน่าหลากสี

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ข้าวผัดปลาทูน่าหลากสี

  • ส่วนประกอบหลัก: ข้าวสวย 2 ถ้วยตวง, ปลาทูน่าในน้ำเกลือ 1 กระป๋อง,แครอทและพริกหวานหั่นชิ้นเล็ก, เมล็ดถั่วลันเตาต้มสุก
  • วิธีทำ: ผัดกระเทียมกับผัก เติมข้าวและปลาทูน่า ปรุงรสด้วยรสดีรสไก่ ผัดให้เข้ากัน โรยต้นหอมและเสิร์ฟ

หรือ ผัดคะน้าหมูกรอบ

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ผัดคะน้าหมูกรอบ

  • ส่วนประกอบหลัก: หมูกรอบ 90 กรัม, คะน้า 300 กรัม, กระเทียมโขลก 15 กรัม, พริกขี้หนูโขลก 30 กรัม
  • วิธีทำ: ผัดกระเทียมและพริกให้หอม ใส่หมูกรอบและคะน้า ผัดไฟแรง เติมน้ำ ปรุงรสด้วยรสดีรสหมูและซอสหอยนางรม

มื้อเย็น

สเต็กปลาแซลมอนซอสครีมต้มยำ

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย สเต็กปลาแซลมอนซอสครีมต้มยำ

  • ส่วนประกอบหลัก: แซลมอนสเต็ก 120 กรัม, มะเขือเทศเชอร์รี่ 50 กรัม, หน่อไม้ฝรั่ง 30 กรัม, วิปปิ้งครีม 60 กรัม
  • วิธีทำ: ผัดแป้งและเติมน้ำพร้อมสมุนไพรต้มยำ ปรุงรสด้วยรสดีซุปก้อนต้มยำ เติมครีม ย่างปลาแซลมอนให้สุก ราดซอสและตกแต่งด้วยผัก

หรือ ข้าวซอยปลา

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ข้าวซอยปลา

  • ส่วนประกอบหลัก: เนื้อปลาทับทิมแล่ 120 กรัม, บะหมี่เหลืองเส้นแบน 120 กรัม, พริกแกงข้าวซอย 30 กรัม, กะทิ 150 กรัม
  • วิธีทำ: ย่างปลาให้สุก แยกบะหมี่บางส่วนไปทอด ที่เหลือลวกให้สุก ผัดพริกแกงกับกะทิ เติมน้ำสต๊อกและปรุงรส เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง

มื้ออาหารว่าง

ตอนเช้า พายข้าวโพดสายหวานมือใหม่ (10:00 น.)

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย พายข้าวโพดสายหวานมือใหม่

  • ส่วนประกอบหลัก: ไข่แดง 2 ฟอง, นมสดชนิดจืด 100 กรัม, วิปปิ้งครีม 50 กรัม, ข้าวโพดหวานต้มสุก 175 กรัม, ขนมปังแซนด์วิช 4 แผ่น
  • วิธีทำ: ทำไส้คัสตาร์ดครีมข้าวโพด เตรียมถ้วยพายจากขนมปัง ตกแต่งด้วยโชยุคาราเมลและเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลา

ตอนบ่าย ขนมกล้วย (15:00 น.)

อาหารที่ช่วยให้หายอ่อนเพลีย ขนมกล้วย

  • ส่วนประกอบหลัก: กล้วยน้ำว้าสุกงอม 120 กรัม, แป้งข้าวเจ้า 30 กรัม, แป้งมัน 15 กรัม, กะทิ 150 กรัม
  • วิธีทำ: นวดกล้วยกับแป้งให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาลไลท์ชูก้า และกะทิ เทใส่พิมพ์และนึ่งประมาณ 25 นาที

อยากลดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรงมีวิธีอะไรบ้าง?

การรู้ว่าร่างกายอ่อนเพลียกินอะไรดี เป็นเพียงส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่น ๆ ที่จะช่วยเพิ่มพลังงานและลดความเหนื่อยล้าได้ การผสมผสานหลายวิธีเข้าด้วยกันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

  • นอนให้เพียงพอและมีคุณภาพ ผู้ใหญ่ควรนอน 7-9 ชั่วโมงต่อคืน นอนและตื่นในเวลาเดิมทุกวัน
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เริ่มจากการเดินเร็ว ๆ 30 นาทีทุกวัน หรือโยคะ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
  • จัดการความเครียด ฝึกสมาธิ ทำโยคะ หายใจลึก ๆ ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมที่ชอบ พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ
  • ดื่มน้ำเพียงพอ ตั้งเป้าดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน 
  • ออกไปรับแสงแดดในตอนเช้า แสงแดดช่วยปรับจังหวะชีวิต (Circadian Rhythm) ทำให้ตื่นตัวในตอนกลางวันและง่วงนอนในตอนกลางคืน 
  • พักสายตาและขยับร่างกาย ถ้าทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ลุกขยับทุก 1 ชั่วโมง เดินไปเดินมา ยืดเหยียด หมุนไหล่ หมุนคอ ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการปวดเมื่อย และรู้สึกสดชื่นขึ้น

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหากไม่อยากให้ร่างกายอ่อนเพลียมีอะไรบ้าง

บางครั้งการหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ดีก็สำคัญพอ ๆ กับการเพิ่มสิ่งที่ดี อาหารและพฤติกรรมบางอย่างดูเหมือนจะให้พลังงาน แต่จริง ๆ แล้วกลับทำให้คุณเหนื่อยล้ามากขึ้นในระยะยาว มาดูกันว่าควรหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง

  • อาหารจานด่วน ฟาสต์ฟู้ด อาหารจานด่วนมักมีไขมันอิ่มตัวสูง น้ำตาล เกลือ และแคลอรี่มากเกินไป แต่ขาดสารอาหารที่จำเป็น ร่างกายต้องใช้พลังงานมากในการย่อยอาหารเหล่านี้ ทำให้รู้สึกเฉื่อยชาและง่วงนอนหลังกิน 
  • ของหวานมากเกินไป น้ำตาลให้พลังงานเร็วแต่หมดไวเช่นกัน หลังกินของหวาน น้ำตาลในเลือดจะพุ่งสูงแล้วตกต่ำอย่างรวดเร็ว ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า หิว และอยากกินของหวานอีก
  • ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แอลกอฮอล์ทำลายคุณภาพการนอน ทำให้ร่างกายขาดน้ำ รบกวนการทำงานของตับ และลดการดูดซึมสารอาหาร 
  • ดื่มคาเฟอีนมากเกินไป การดื่มมากเกินไป โดยเฉพาะในช่วงบ่ายหรือเย็น จะรบกวนการนอน ทำให้นอนไม่หลับหรือนอนไม่สนิท ส่งผลให้เหนื่อยล้าในวันถัดไป
  • อดมื้อ ข้ามมื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ร่างกายขาดพลังงานและสารอาหารที่จำเป็น ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย

สัญญาณเตือนของอาการอ่อนเพลียใดบ้างที่ควรพบแพทย์

บางครั้งความอ่อนเพลียไม่ใช่แค่เรื่องของพักผ่อนไม่พอหรือกินอาหารไม่ดี แต่อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่จริงจังกว่านั้น ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ อย่าประมาทและรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาให้ถูกต้อง

  • อ่อนเพลียอย่างรุนแรงและต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์
  • มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ ปวดหัวบ่อย ปวดกล้ามเนื้อและข้อโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักเพิ่มหรือลดโดยไม่ได้ตั้งใจ ผิวซีดหรือเหลือง หายใจเหนื่อย เวียนศีรษะบ่อย หรือหน้ามืด
  • นอนมากกว่าปกติแต่ยังเหนื่อย ถ้าคุณนอน 10-12 ชั่วโมงแต่ตื่นมายังเหนื่อยล้า กลางวันง่วงนอนมาก หรือมีอาการกรนเสียงดัง หยุดหายใจขณะนอน อาจเป็นภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep Apnea) ซึ่งต้องได้รับการรักษา
  • มีปัญหาด้านจิตใจ รู้สึกเศร้า ไม่มีความสุข สนุกกับสิ่งที่เคยชอบไม่ได้ วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย หรือมีความคิดด้านลบ

ร่างกายอ่อนเพลียกินอะไรดี เริ่มต้นง่าย จากการใส่ใจอาหาร

ความอ่อนเพลียและไม่มีแรงเป็นปัญหาที่พบบ่อยในยุคปัจจุบัน แต่ส่วนใหญ่สามารถจัดการได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและเลือกกินอาหารที่เหมาะสม 10 อาหารที่แนะนำในบทความนี้ล้วนช่วยเติมพลังงาน บำรุงร่างกาย และทำให้คุณรู้สึกสดชื่นมากขึ้น

สิ่งสำคัญคือการกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ เลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำให้เพียงพอ นอนหลับเพียงพอและมีคุณภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม การผสมผสานทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณมีพลังงานที่ยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

Reference:

เราให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กับผู้ใช้ ท่านตกลงใช้คุกกี้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ต่อไป ดูรายละเอียด นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ข้อตกลงและเงื่อนไขสำหรับเว็บไซต์ของเรา