Ajinomoto Thailand

รู้ทันอาการขาดแคลเซียม 7 สัญญาณเตือนที่ควรระวังและวิธีป้องกัน

12/12/2025
eye
466
|

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีบทบาทหลักในการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง รวมถึงมีส่วนสำคัญในการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท และการแข็งตัวของเลือด อาการขาดแคลเซียมหรือภาวะแคลเซียมต่ำ อาจไม่แสดงอาการให้เห็นในระยะแรก แต่หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับอาการขาดแคลเซียมที่พบได้บ่อย สาเหตุ ภาวะแทรกซ้อน และวิธีป้องกันรักษา

แคลเซียมคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดในร่างกาย โดย 99% ของแคลเซียมทั้งหมดจะอยู่ในกระดูกและฟัน ส่วนที่เหลืออีก 1% จะอยู่ในเลือด เนื้อเยื่อ และเซลล์ต่าง ๆ แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในหลายกระบวนการของร่างกาย ได้แก่

  • การสร้างและบำรุงรักษากระดูกและฟันให้แข็งแรง
  • การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
  • การแข็งตัวของเลือด
  • การควบคุมการหดตัวและคลายตัวของหัวใจ
  • การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์

ร่างกายต้องการแคลเซียมจากอาหารเพื่อรักษาระดับแคลเซียมในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากได้รับไม่เพียงพอ ร่างกายจะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ซึ่งหากเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้กระดูกบางลงและเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน

สาเหตุของภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ

ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำหรือที่เรียกว่าโรคไฮโปแคลซีเมีย (Hypercalcemia) เกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

  • การบริโภคแคลเซียมไม่เพียงพอ: โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่บริโภคผลิตภัณฑ์นม หรือไม่ได้รับอาหารที่มีแคลเซียมสูงอย่างเพียงพอ
  • การขาดวิตามินดี: วิตามินดีจำเป็นต่อการดูดซึมแคลเซียม หากร่างกายขาดวิตามินดี จะดูดซึมแคลเซียมได้ไม่ดี
  • ปัญหาต่อมพาราไทรอยด์: ต่อมนี้ผลิตฮอร์โมนพาราไทรอยด์ที่ช่วยควบคุมระดับแคลเซียม หากทำงานผิดปกติจะส่งผลต่อระดับแคลเซียม
  • โรคทางพันธุกรรม: บางโรคทางพันธุกรรมส่งผลต่อการดูดซึมหรือการใช้แคลเซียมในร่างกาย
  • โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร: เช่น โรคเซลิแอค โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ที่ส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียม
  • การผ่าตัดกระเพาะอาหาร: อาจส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดี
  • โรคไตเรื้อรัง: ส่งผลต่อการเปลี่ยนวิตามินดีให้อยู่ในรูปที่ทำงานได้
  • ยาบางชนิด: เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาต้านอาการชัก ยาบิสฟอสโฟเนต ที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน
  • การตั้งครรภ์และให้นมบุตร: ทำให้ร่างกายต้องการแคลเซียมมากขึ้น

7 สัญญาณเตือนว่าร่างกายคุณกำลังขาดแคลเซียมมีอะไรบ้าง

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อการทำงานอย่างเหมาะสม การขาดแคลเซียมมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก เพราะร่างกายจะพยายามรักษาสมดุลโดยดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ทำให้คุณไม่ทราบว่ากำลังมีภาวะขาดแคลเซียมจนกระทั่งเกิดผลกระทบต่อสุขภาพอย่างชัดเจน

ทั้ง 7 สัญญาณเตือนนี้จะช่วยให้คุณตระหนักถึงความเสี่ยงของภาวะแคลเซียมต่ำ ตั้งแต่อาการระยะเริ่มแรก แต่อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยที่ถูกต้องควรได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

  1. กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อย

แคลเซียมต่ำอาการ กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อย

แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ เมื่อระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ จะทำให้กล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุล ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้อเป็นตะคริวโดยเฉพาะบริเวณขา น่อง และเท้า มักเกิดตอนกลางคืนหรือหลังออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังอาจมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กระตุก หรืออ่อนแรงร่วมด้วย

  1. ชาและเป็นเหน็บที่มือและเท้า

แคลเซียมต่ำอาการ ชาและเป็นเหน็บที่มือและเท้า

ภาวะขาดแคลเซียมอาการที่พบได้บ่อยอีกอย่างคือความรู้สึกชาหรือเป็นเหน็บ โดยเฉพาะบริเวณมือ เท้า รอบปาก และใบหน้า เนื่องจากแคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบประสาท เมื่อระดับแคลเซียมต่ำ จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Neuromuscular Irritability คือเส้นประสาทและกล้ามเนื้อถูกกระตุ้นง่ายกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการชา เหน็บ และรู้สึกเสียวแปลบๆ

  1. กระดูกเปราะและเสี่ยงต่อการแตกหัก

แคลเซียมต่ำอาการ กระดูกเปราะและเสี่ยงต่อการแตกหัก

ภาวะแคลเซียมต่ำเรื้อรังทำให้ร่างกายดึงแคลเซียมออกจากกระดูกมาใช้เพื่อรักษาระดับในเลือด ส่งผลให้กระดูกบางลง เปราะ และเสี่ยงต่อการแตกหักง่าย โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ ในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ที่ทำให้กระดูกมีความหนาแน่นต่ำและเปราะบางมาก

  1. ฟันผุและเหงือกมีปัญหา

อาการขาดแคลเซียม ฟันผุและเหงือกมีปัญหา

ฟันประกอบด้วยแคลเซียมเป็นส่วนใหญ่ การขาดแคลเซียมส่งผลต่อสุขภาพฟันและเหงือก ได้แก่ ฟันผุง่าย เคลือบฟันบาง ฟันแตกหรือหักง่าย เหงือกอักเสบ เลือดออกตามไรฟัน และฟันโยกคลอน ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต นอกจากนี้ภาวะขาดแคลเซียมอาจส่งผลต่อการพัฒนาของฟันด้วย

  1. อารมณ์แปรปรวนและซึมเศร้า

อาการขาดแคลเซียม อารมณ์แปรปรวนและซึมเศร้า

แคลเซียมมีบทบาทในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทและการหลั่งสารสื่อประสาท การขาดแคลเซียมอาจส่งผลต่ออารมณ์และสภาวะทางจิตใจ ทำให้เกิดอาการหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ซึมเศร้า และมีปัญหาในการจดจ่อหรือสมาธิสั้น นอกจากนี้ยังอาจส่งผลให้อาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) รุนแรงขึ้นในผู้หญิง

  1. ผมและเล็บเปราะบาง

อาการขาดแคลเซียม ผมและเล็บเปราะบาง

ภาวะแคลเซียมต่ำอาการที่สังเกตได้ชัดเจนอีกอย่างคือปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมและเล็บ แคลเซียมช่วยในการสร้างเคราติน (Keratin) ซึ่งเป็นโปรตีนหลักในเส้นผมและเล็บ การขาดแคลเซียมทำให้เล็บบาง เปราะ แตกง่าย และมีรอยหยัก ส่วนเส้นผมจะแห้งกรอบ หลุดร่วงง่าย และเติบโตช้า บางกรณีอาจมีอาการผิวแห้ง คัน หรือเกิดผื่นผิวหนังร่วมด้วย

  1. การนอนไม่หลับและปัญหาการนอน

ขาดแคลเซียมอาการนอนไม่หลับและปัญหาการนอน

แคลเซียมมีส่วนในการผลิตเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมวงจรการนอนหลับ ภาวะขาดแคลเซียมเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ได้แก่ นอนไม่หลับ หลับยาก ตื่นบ่อยระหว่างคืน นอนไม่สนิท หรือรู้สึกเหนื่อยล้าแม้จะนอนครบชั่วโมงแล้ว การศึกษาพบว่าการเสริมแคลเซียมอาจช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ในผู้ที่มีภาวะขาดแคลเซียม

ภาวะแทรกซ้อนของการขาดแคลเซียมเรื้อรัง

แม้ว่าร่างกายจะมีกลไกการชดเชยโดยดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ แต่เมื่อระดับแคลเซียมในเลือดต่ำเกิดภาวะขาดแคลเซียมต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ทั้งต่อระบบกระดูก ระบบประสาท หัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ

  1. โรคกระดูกพรุน

ภาวะขาดแคลเซียมเรื้อรังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ซึ่งทำให้กระดูกบางและเปราะจนเสี่ยงต่อการแตกหักแม้เพียงการกระทบกระเทือนเล็กน้อย โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและผู้สูงอายุ กระดูกที่มักได้รับผลกระทบ ได้แก่ กระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ การแตกหักของกระดูกสะโพกในผู้สูงอายุอาจนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพถาวรหรือเสียชีวิตได้

  1. โรคกระดูกอ่อน (Osteomalacia)

โรคกระดูกอ่อนเกิดจากการขาดแคลเซียมและวิตามินดี ทำให้กระดูกอ่อนแอและผิดรูป มีอาการปวดกระดูกและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณสะโพก หลัง และขา เดินลำบาก มีอาการอ่อนแรง ในเด็กเรียกว่าโรคกระดูกอ่อน (Rickets) ซึ่งอาจทำให้ขาโก่ง กระดูกผิดรูป และการเจริญเติบโตช้า

  1. ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและการควบคุมความดันโลหิต ภาวะแคลเซียมต่ำในเลือดอาจทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) ความดันโลหิตสูง และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ในกรณีรุนแรง อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้

  1. ความเสี่ยงต่อภาวะเตตานี (Tetany)

ภาวะเตตานีเป็นภาวะที่กล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างรุนแรงเนื่องจากระดับแคลเซียมในเลือดต่ำมาก อาจมีอาการชักเกร็ง กล้ามเนื้อหดตัวอย่างรุนแรงโดยเฉพาะที่มือและเท้า หายใจลำบาก ชาที่รอบปากและใบหน้า ในกรณีรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

วิธีใดบ้างที่ช่วยเพิ่มแคลเซียมให้ร่างกายได้

การป้องกันและรักษาภาวะขาดแคลเซียมทำได้หลายวิธี ดังนี้

  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง: เช่น ผลิตภัณฑ์นม (นม โยเกิร์ต ชีส) ปลากระป๋องที่กินได้ทั้งก้าง (ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน) ผักใบเขียว (คะน้า บรอกโคลี ผักโขม) เต้าหู้ ถั่วและเมล็ดพืช (งา อัลมอนด์) และอาหารเสริมแคลเซียม เช่น นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม
  • รับวิตามินดีให้เพียงพอ: วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น ได้จากการรับแสงแดดอ่อน ๆ 15-30 นาทีต่อวัน หรือรับประทาน ปลาทะเล น้ำมันตับปลา ไข่แดง และผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินดี
  • ออกกำลังกายแบบมีแรงกระแทก: เช่น การเดิน วิ่ง เต้นแอโรบิก เล่นเทนนิส หรือการออกกำลังกายที่มีการรับน้ำหนัก จะช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกระดูก
  • ลดหรือหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม: เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ โซเดียมสูง เครื่องดื่มที่มีฟอสเฟตสูง (น้ำอัดลม) และการสูบบุหรี่
  • รับประทานอาหารเสริมแคลเซียมตามคำแนะนำของแพทย์: โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ สตรีวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรือผู้ที่มีข้อจำกัดในการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม
  • ปรับการรับประทานอาหารให้มีสมดุล: รับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสำคัญอื่น ๆ ที่ช่วยในการดูดซึมและการทำงานของแคลเซียม เช่น แมกนีเซียม วิตามินเค โพแทสเซียม

ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันแตกต่างกันตามอายุและเพศ

กลุ่มอายุ

ปริมาณแคลเซียมที่แนะนำต่อวัน (มิลลิกรัม)

เด็ก 1-3 ปี

700

เด็ก 4-8 ปี

1,000

เด็ก 9-18 ปี

1,300

ผู้ใหญ่ 19-50 ปี

1,000

ผู้ใหญ่ 51 ปีขึ้นไป

1,200

หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

1,000-1,300 (ขึ้นอยู่กับอายุ)

เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์

คุณควรพบแพทย์เมื่อมีอาการขาดแคลเซี่ยมดังต่อไปนี้

  • มีอาการตะคริวหรือปวดเกร็งกล้ามเนื้อบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
  • มีอาการชาหรือเหน็บที่มือ เท้า รอบปาก หรือใบหน้า
  • กระดูกหักง่ายหรือมีประวัติกระดูกหักจากการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย
  • มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง
  • มีปัญหาฟันผุหรือเหงือกอักเสบบ่อยครั้ง
  • มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือใจสั่น
  • มีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรืออารมณ์แปรปรวนรุนแรง
  • มีปัญหาการนอนหลับเรื้อรัง
  • อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการขาดแคลเซียม เช่น ผู้สูงอายุ สตรีวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่แพ้นมหรือไม่สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์นมได้ ผู้ที่มีโรคทางเดินอาหาร
  • ต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเสริมแคลเซียม

แพทย์อาจตรวจวัดระดับแคลเซียมในเลือด วัดความหนาแน่นของมวลกระดูก หรือตรวจวัดระดับวิตามินดีและฮอร์โมนพาราไทรอยด์ เพื่อวินิจฉัยภาวะขาดแคลเซียมและหาสาเหตุที่แท้จริง การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุของภาวะดังกล่าว

อาการขาดแคลเซียม ป้องกันได้ด้วยการกิน

ภาวะขาดแคลเซียมมีหลากหลายอาการและอาจไม่แสดงให้เห็นในระยะแรก  เช่น กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อย ชาและเป็นเหน็บ กระดูกเปราะ ฟันผุ อารมณ์แปรปรวน ผมและเล็บเปราะบาง หรือนอนไม่หลับ ควรสงสัยว่าอาจมีภาวะขาดแคลเซียมและควรปรึกษาแพทย์

การป้องกันและรักษาทำได้โดยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง รับวิตามินดีให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม ในกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมแคลเซียม

การให้ความสำคัญกับการบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอตั้งแต่วัยเด็กจะช่วยสร้างความหนาแน่นของมวลกระดูกและป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาวได้ โดยเฉพาะโรคกระดูกพรุนในวัยสูงอายุ และการรู้เท่าทันอาการขาดแคลเซียมและการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณมีกระดูกที่แข็งแรงและสุขภาพที่ดีตลอดชีวิต

Reference:

เราให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กับผู้ใช้ ท่านตกลงใช้คุกกี้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ต่อไป ดูรายละเอียด นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ข้อตกลงและเงื่อนไขสำหรับเว็บไซต์ของเรา