Ajinomoto Thailand

คลายสงสัย ออกกำลังกายตอนไหนดีที่สุด? เฉลยช่วงเวลาทองของการออกกำลังกาย

02/12/2025
eye
17
|

หนึ่งในคำถามที่ผู้คนถามกันบ่อยที่สุดเกี่ยวกับการออกกำลังกายคือ "ออกกําลังกายตอนไหนดีที่สุด?" บางคนชอบตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกาย บางคนรู้สึกว่ามีพลังมากกว่าในช่วงเย็น และบางคนก็ไม่แน่ใจว่าควรเลือกช่วงไหน คำตอบไม่ได้มีแบบเดียวสำหรับทุกคน แต่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าทำไมเวลาออกกำลังกายถึงสำคัญ แต่ละช่วงเวลามีข้อดีข้อเสียอย่างไร ช่วงเวลาไหนเหมาะกับเป้าหมายของคุณ ความถี่ที่เหมาะสม และเคล็ดลับการออกกำลังกายให้ได้ผลดีไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน เพื่อให้คุณหาคำตอบที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด

ทำไมเวลาออกกำลังกายถึงสำคัญ?

เวลาที่เราออกกำลังกายมีความสำคัญมากกว่าที่หลายคนคิด เพราะร่างกายมี Circadian Rhythm หรือนาฬิกาชีวภาพ ที่ควบคุมการทำงานของฮอร์โมน อุณหภูมิร่างกาย ความดันโลหิต และระดับพลังงานตลอด 24 ชั่วโมง การเข้าใจจังหวะชีวภาพนี้จะช่วยให้เราเลือกเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเป้าหมาย

เป้าหมายการออกกำลังกาย ก็มีผลต่อการเลือกเวลา ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ออกกำลังกายตอนท้องว่างในช่วงเช้าอาจช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีกว่า ถ้าต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อและความแข็งแรง ช่วงบ่ายถึงเย็นที่อุณหภูมิร่างกายสูงและกล้ามเนื้อพร้อมอาจเหมาะกว่า

แต่ละช่วงเวลามีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

การออกกำลังกายในแต่ละช่วงเวลามีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

  1. ช่วงเช้า (06:00-09:00 น.)

ข้อดีของการออกกําลังกายตอนเช้า:

  • เผาผลาญไขมันได้ดี การออกกำลังกายตอนท้องว่างช่วยเผาผลาญไขมันเป็นพลังงาน เพราะร่างกายมีระดับไกลโคเจนต่ำหลังจากงดอาหารตลอดคืน
  • สม่ำเสมอ ช่วงเช้าน่าจะถูกรบกวนน้อยกว่าช่วงอื่น ไม่มีการนัดหมายหรือธุระกะทันหัน ทำให้ออกกำลังกายได้สม่ำเสมอ
  • ช่วยตื่นตัว การออกกำลังกายในช่วงเช้ากระตุ้นการหลั่ง Endorphins ทำให้รู้สึกสดชื่น มีพลังงาน และอารมณ์ดีตลอดวัน
  • เพิ่มการเผาผลาญ EPOC (Excess Post-Exercise Oxygen Consumption) ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่สูงตลอดวัน
  • นอนหลับดีขึ้น การออกกำลังกายในช่วงเช้าช่วยปรับ Circadian Rhythm ทำให้นอนหลับดีในตอนกลางคืน

ข้อเสียของการออกกําลังกายตอนเช้า:

  • กล้ามเนื้อยังไม่พร้อม อุณหภูมิร่างกายต่ำในช่วงเช้า กล้ามเนื้อตึงและไม่ค่อยยืดหยุ่น เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหากไม่ Warm-up ให้พร้อมก่อน
  • พลังงานอาจไม่เต็มที่ บางคนรู้สึกอ่อนเพลียในช่วงเช้า ไม่สามารถออกแรงได้เต็มที่
  • ต้องตื่นเช้า สำหรับคนที่ไม่ชอบตื่นเช้า อาจยากที่จะรักษาความสม่ำเสมอ
  • อาจหิวเร็ว การออกกำลังกายตอนท้องว่างอาจทำให้หิวมากและกินมากเกินไปในมื้อต่อไป
  1. ช่วงสาย-เที่ยง (10:00-14:00 น.)

ข้อดีของการออกกำลังกายช่วงสาย-เที่ยง:

  • อุณหภูมิร่างกายเริ่มสูงขึ้น กล้ามเนื้อเริ่มพร้อมมากขึ้น ยืดหยุ่นดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
  • ตื่นตัวแล้ว ร่างกายตื่นเต็มที่ ระดับ Cortisol ยังสูงอยู่ ทำให้มีพลังงานและสมาธิดี
  • เหมาะกับคนทำงาน WFH สามารถแทรกการออกกำลังกายระหว่างวัน พักจากงานและกลับมาทำงานต่อด้วยความสดชื่น
  • กินมื้อเช้าแล้ว มีพลังงานจากอาหารเช้า สามารถออกแรงได้เต็มที่

ข้อเสียของการออกกำลังกายช่วงสาย-เที่ยง:

  • ร้อน ถ้าออกกำลังกายกลางแจ้งในเมืองร้อนอย่างประเทศไทย อาจร้อนเกินไปและเสี่ยงต่อโรคลมแดด
  • เสียเวลาทำงาน คนทำงานออฟฟิศอาจไม่สะดวก ต้องเดินทางไปยิมและกลับมา ทำให้เสียเวลา
  • ขัดขวางการย่อยอาหาร ถ้าออกกำลังกายหลังกินเที่ยงทันที อาจทำให้ย่อยอาหารลำบาก คลื่นไส้
  1. ช่วงบ่าย-เย็น (15:00-18:00 น.)

ข้อดีของการออกกำลังกายช่วงบ่าย-เย็น:

  • ประสิทธิภาพสูงสุด อุณหภูมิร่างกายสูงที่สุดในช่วง 4-6 โมงเย็น กล้ามเนื้อยืดหยุ่น ข้อต่อพร้อม สามารถออกแรงได้สูงสุด
  • ความแข็งแรงและพลังสูง ระดับ Testosterone ยังสูง กล้ามเนื้อทำงานได้ดีที่สุด เหมาะกับการยกน้ำหนักและออกแรงสูง
  • ปฏิกิริยาตอบสนองดี ระบบประสาทและการประสานงานของร่างกายทำงานได้ดีที่สุด เหมาะกับกีฬาที่ต้องการความแม่นยำและความเร็ว
  • ลดความเสี่ยงบาดเจ็บ กล้ามเนื้ออุ่นแล้วจากกิจกรรมตลอดวัน Warm-up ง่ายขึ้น
  • คลายเครียดจากงาน ช่วยปลดปล่อยความเครียดสะสมจากการทำงานทั้งวัน

ข้อเสียของการออกกำลังกายช่วงบ่าย-เย็น:

  • ยิมแน่น ช่วง 5-7 โมงเย็นเป็นช่วง Peak Hour ยิมมักแออัด ต้องรอเครื่อง รบกวนสมาธิ
  • อาจมีธุระ หลังเลิกงานอาจมีนัดหมาย ธุระ หรือเหตุฉุกเฉินที่ทำให้พลาดการออกกำลังกาย
  • เหนื่อยจากงาน บางคนรู้สึกเหนื่อยล้าหลังทำงานทั้งวัน ไม่มีแรงจูงใจออกกำลังกาย
  1. ช่วงค่ำ-กลางคืน (18:00-21:00 น.)

ข้อดีของการออกกำลังกายช่วงค่ำ-กลางคืน:

  • เหมาะกับคนทำงานดึก ถ้าคุณเป็นคนที่มีพลังงานมากในช่วงค่ำ หรือทำงานกะดึก เวลานี้อาจเหมาะกับคุณ
  • คลายเครียด ช่วยปลดปล่อยความเครียดจากทั้งวัน ทำให้ผ่อนคลายก่อนนอน
  • ยิมเริ่มว่าง หลัง 8 โมงเย็น ยิมมักเริ่มว่างแล้ว สามารถใช้เครื่องได้สะดวก
  • มีเวลามากขึ้น ไม่ต้องรีบเหมือนช่วงเช้าหรือเที่ยง สามารถออกกำลังกายได้นานและผ่อนคลาย

ข้อเสียของการออกกำลังกายช่วงค่ำ-กลางคืน:

  • รบกวนการนอน การออกกำลังกายเข้มข้นในช่วงดึกอาจทำให้ตื่นตัวเกินไป นอนไม่หลับ ควรหยุดอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงก่อนนอน
  • ขัดจังหวะ Circadian Rhythm การออกกำลังกายดึก ๆ อาจทำให้ระบบนาฬิกาชีวภาพสับสน
  • พลังงานลดลง บางคนเหนื่อยมากหลังจากทำงานทั้งวัน อาจออกแรงไม่เต็มที่
  • ไม่เหมาะกับบางเป้าหมาย ถ้าต้องการเผาผลาญไขมัน ช่วงเช้าจะเหมาะกว่า

ช่วงเวลาไหนเหมาะกับเป้าหมายของคุณ?

  • เป้าหมายลดน้ำหนัก

แนะนำช่วงเวลา: เช้า (06:00-09:00 น.)

สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและลดไขมัน ให้ลองออกกําลังกายตอนเช้าโดยเฉพาะ Fasted Cardio หรือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอตอนท้องว่างมีประสิทธิภาพสูง เพราะหลังจากงดอาหารตลอดคืน ระดับน้ำตาลและไกลโคเจนในร่างกายต่ำ ทำให้ร่างกายต้องเผาผลาญไขมันสะสมเป็นพลังงานมากขึ้น

  • เป้าหมายเพิ่มกล้ามเนื้อ

แนะนำช่วงเวลา: บ่าย-เย็น (15:00-18:00 น.)

สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและสร้างกล้ามเนื้อ ออกกําลังกายตอนเย็นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะอุณหภูมิร่างกายสูงสุดในช่วง 4-6 โมงเย็น ทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น ข้อต่อพร้อม และสามารถยกน้ำหนัก หนักได้มากกว่า ระดับ Testosterone ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อยังอยู่ในระดับสูง

  • เป้าหมายเพิ่มความแข็งแรงและความอดทน

แนะนำช่วงเวลา: ช่วงเช้าหรือบ่าย-เย็น (เลือกตามลักษณะการฝึก)

สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอดทนของหัวใจและปอด (Cardio Endurance) ออกกําลังกายตอนเช้าเหมาะสมกับคุณ เพราะสภาพอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนเกินไป และยังได้ประโยชน์จากการเผาผลาญไขมันด้วย การวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำในช่วงเช้าช่วยสร้างความอดทนได้ดี

  • เป้าหมายคลายเครียดและผ่อนคลาย

แนะนำช่วงเวลา: เย็น (17:00-19:00 น.) หรือค่ำ (19:00-21:00 น.)

สำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อคลายเครียด ผ่อนคลาย และปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ การออกกําลังกายตอนเย็นถึงค่ำเหมาะสม โดยเฉพาะกิจกรรมที่ไม่เข้มข้นมากเกินไป เช่น โยคะ พิลาทิส การเดิน หรือยืดเหยียด

การออกกำลังกายหลังเลิกงานช่วยปลดปล่อย Endorphins (ฮอร์โมนความสุข) ลดระดับ Cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) และทำให้จิตใจสงบ ร่างกายผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ควรหยุดอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะถ้าออกกำลังกายเข้มข้นใกล้เวลานอนมากเกินไปอาจทำให้ตื่นตัวและนอนไม่หลับ

ควรออกกำลังกายบ่อยแค่ไหน?

  • ผู้เริ่มต้น (Beginner)

สำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนหรือหยุดไปนาน แนะนำให้เริ่มต้นด้วย 3-4 วันต่อสัปดาห์ โดยแต่ละเซสชันประมาณ 30-45 นาที ไม่ควรรีบร้อนหรือออกกำลังกายหนักมากเกินไปตั้งแต่วันแรก เพราะอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บหรือเหนื่อยล้ามากเกินไปจนท้อแท้

การเริ่มต้นด้วยความเข้มข้นต่ำถึงปานกลาง เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยานเบา ๆ ว่ายน้ำช้า ๆ หรือออกกำลังกายแบบ Bodyweight ช่วยให้ร่างกายปรับตัว สร้างนิสัยการออกกำลังกาย และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ควรมีวันพักอย่างน้อย 1 วันระหว่างวันที่ออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักฟื้น

  • ระดับกลาง (Intermediate)

ผู้ที่ออกกำลังกายมาสม่ำเสมอแล้ว 3-6 เดือน สามารถเพิ่มความถี่เป็น 4-5 วันต่อสัปดาห์ โดยแต่ละเซสชัน 45-60 นาที ในระดับนี้ควรเริ่มมีโครงสร้างการฝึกที่ชัดเจนขึ้น แบ่งเป็นวันฝึกกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ และวันฝึกคาร์ดิโอ

ผู้ฝึกระดับกลางควรเริ่มเพิ่มความเข้มข้น เช่น วิ่งเร็วขึ้น ยกน้ำหนักหนักขึ้น หรือทำ HIIT (High-Intensity Interval Training) เพื่อท้าทายร่างกายและพัฒนาต่อไป

  • ระดับสูง (Advanced)

นักกีฬาหรือผู้ที่มีประสบการณ์การออกกำลังกายมาหลายปี อาจออกกำลังกายได้ 5-6 วันต่อสัปดาห์ หรือแม้แต่ 2 เซสชันต่อวัน (เช้าและเย็น) โดยแต่ละเซสชัน 60-90 นาที ในระดับนี้มักมีเป้าหมายเฉพาะ เช่น เตรียมตัวแข่งขัน สร้างกล้ามเนื้อ หรือเพิ่มความแข็งแรงสูงสุด

โปรแกรมการฝึกระดับสูงมักแบ่งเป็น Periodization คือการวางแผนการฝึกเป็นรอบ ๆ เพื่อให้ร่างกายพัฒนาอย่างต่อเนื่องและหลีกเลี่ยง Overtraining เช่น มี Strength Phase (เน้นความแข็งแรง), Hypertrophy Phase (เน้นขนาดกล้ามเนื้อ), Power Phase (เน้นพลัง), และ Deload Phase (ลดความเข้มข้นเพื่อพักฟื้น)

การพักฟื้นที่เหมาะสม

การพักฟื้น (Recovery) เป็นส่วนสำคัญที่มักถูกมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นระดับไหน ควรมีวันพักอย่างน้อย 1-2 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ซ่อมแซมและพัฒนา การออกกำลังกายทุกวันโดยไม่พักอาจนำไปสู่ Overtraining Syndrome ที่มีอาการเช่น เหนื่อยล้าเรื้อรัง นอนไม่หลับ ประสิทธิภาพลดลง บาดเจ็บบ่อย และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

ทำอย่างไรให้ออกกำลังกายได้ผลดีไม่ว่าช่วงไหน?

ไม่ว่าคุณจะเลือกออกกําลังกายตอนไหนดีที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสม่ำเสมอ การออกกำลังกายสม่ำเสมอในช่วงเวลาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์จะให้ผลดีกว่าการพยายามออกกำลังกายในช่วงเวลา "ที่ดีที่สุด" แต่ทำไม่ได้สม่ำเสมอ

  • Warm-up และ Cool-down ไม่ว่าจะออกกำลังกายช่วงไหน การอุ่นเครื่อง (Warm-up) 5-10 นาที ก่อนเริ่มและการผ่อนคลาย (Cool-down) หลังเสร็จเป็นสิ่งสำคัญ Warm-up ช่วยเพิ่มอุณหภูมิร่างกาย เตรียมกล้ามเนื้อและข้อต่อ ลดความเสี่ยงบาดเจ็บ Cool-down ช่วยให้ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ ลดอาการเจ็บกล้ามเนื้อ
  • โภชนาการ สำคัญไม่แพ้การออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่ดีเพียงพอ กินผักผลไม้เยอะ ดื่มน้ำเพียงพอ หากออกกำลังกายตอนเช้า อาจกินอาหารเบา ๆ ก่อนหรือกินหลังก็ได้ หากออกกำลังกายช่วงเย็น ควรกินอาหารว่างก่อน 1-2 ชั่วโมง
  • นอนหลับเพียงพอ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน ร่างกายซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อขณะนอนหลับ การนอนไม่พอทำให้ประสิทธิภาพลดลงและเพิ่มความเสี่ยงบาดเจ็บ
  • ฟังร่างกาย หากรู้สึกเจ็บปวดผิดปกติ เหนื่อยล้ามาก หรือไม่สบาย ให้พักผ่อน อย่าบังคับตัวเอง การพักเมื่อจำเป็นดีกว่าการฝืนจนบาดเจ็บ
  • ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และวัดผลได้ เช่น "วิ่งได้ 5 กิโลเมตรภายใน 3 เดือน" มีเป้าหมายจะช่วยให้มีแรงจูงใจและติดตามความก้าวหน้า
  • หาเพื่อนหรือชุมชน การออกกำลังกายกับเพื่อนหรือเข้ากลุ่มช่วยเพิ่มแรงจูงใจ มีคนคอยให้กำลังใจ และทำให้สนุกมากขึ้น

ควรออกกำลังกายตอนไหน? ให้ร่างกายได้ประโยชน์ที่สุด

ควรออกกำลังกายตอนไหน? ให้ร่างกายได้ประโยชน์ที่สุด

คำตอบของคำถาม "ออกกําลังกายตอนไหนดีที่สุด" คือ ช่วงเวลาที่คุณทำได้สม่ำเสมอและเหมาะกับเป้าหมายของคุณ ไม่มีคำตอบเดียวที่ถูกสำหรับทุกคน

หากต้องการลดน้ำหนัก ออกกําลังกายตอนเช้าตอนท้องว่างอาจเหมาะสม หากต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อและความแข็งแรง ช่วงบ่าย-เย็นอาจดีกว่า หากต้องการคลายเครียด ออกกําลังกายตอนเย็นก็เป็นทางเลือกที่ดี

สิ่งสำคัญที่สุดคือเลือกช่วงเวลาที่เหมาะกับตารางชีวิต ทำให้ได้สม่ำเสมอ Warm-up ดี ดูแลโภชนาการ นอนหลับเพียงพอ และฟังร่างกาย ความสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะเลือกออกกำลังกายช่วงไหนก็ตาม!

Reference:

เราให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กับผู้ใช้ ท่านตกลงใช้คุกกี้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ต่อไป ดูรายละเอียด นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ข้อตกลงและเงื่อนไขสำหรับเว็บไซต์ของเรา