BMR คืออะไร? วิธีคำนวณค่าเผาผลาญที่ช่วยให้หุ่นสวยสุขภาพดี
หลายคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือดูแลสุขภาพมักจะได้ยินคำว่า "BMR" ซึ่ง BMR คืออัตราการเผาผลาญพื้นฐานที่สำคัญต่อการวางแผนอาหารและการออกกำลังกาย แต่ความจริงแล้ว BMR คืออะไรกันแน่ และทำไมการเข้าใจเรื่องนี้จึงสำคัญต่อการมีหุ่นสวยและสุขภาพดี
การรู้ว่าค่า BMR คืออะไรจะช่วยให้คุณสามารถคำนวณได้ว่าควรรับประทานอาหารเท่าไหร่ ออกกำลังกายอย่างไร และวิธีการเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้ดีขึ้น บทความนี้จะอธิบายทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ BMR พร้อมวิธีการคำนวณที่แม่นยำและนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้จริง
BMR (Basal Metabolic Rate) คืออะไร
BMR หรือ Basal Metabolic Rate คือ ปริมาณพลังงานขั้นต่ำที่ร่างกายต้องการใช้เพื่อรักษาการทำงานของอวัยวะสำคัญในขณะที่อยู่ในสภาวะพักผ่อนสมบูรณ์ ซึ่งรวมถึงการทำงานของหัวใจ ปอด ตับ ไต สมอง และกระบวนการทางชีวเคมีพื้นฐานอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่
BMR กับ RMR แตกต่างกันอย่างไร
แม้ว่า BMR และ RMR จะมีความหมายคล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญในด้านเงื่อนไขการวัด RMR หรือ Resting Metabolic Rate เป็นการวัดอัตราการเผาผลาญในสภาวะพักผ่อน แต่เงื่อนไขการวัดผ่อนปรนกว่า BMR ในทางปฏิบัติ RMR มักจะสูงกว่า BMR ประมาณ 10-15%
บทบาทของ BMR ในการใช้พลังงานของร่างกาย คืออะไร
ค่า BMR ส่วนใหญ่ของการใช้พลังงานทั้งหมดของร่างกายในแต่ละวัน โดยคิดเป็นประมาณ 60-75% ของพลังงานรวมที่ร่างกายใช้ในคนทั่วไปที่ไม่ได้มีกิจกรรมทางกายมาก พลังงานส่วนใหญ่นี้ถูกใช้โดยสมอง ตับ กล้ามเนื้อ หัวใจ ไต และอวัยวะอื่น ๆ
องค์ประกอบของการใช้พลังงานในแต่ละวันมีอะไรบ้าง
การเข้าใจว่าร่างกายใช้พลังงานไปกับอะไรบ้างในแต่ละวันจะช่วยให้เราวางแผนการควบคุมน้ำหนักและดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานของร่างกายแบ่งออกเป็นส่วนหลัก ๆ ที่แต่ละคนควรรู้และเข้าใจ
- พลังงานจาก BMR (65% ของพลังงานรวม) ส่วนใหญ่ของพลังงานที่ร่างกายใช้ในแต่ละวันมาจาก BMR ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานที่อวัยวะสำคัญต้องการ ส่วนนี้เป็นพลังงานที่เราควบคุมไม่ได้โดยตรง แต่สามารถปรับปรุงได้ผ่านการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและการมีไลฟ์สไตล์ที่ดี
- พลังงานจากการเคลื่อนไหวร่างกาย (25% ของพลังงานรวม) พลังงานส่วนนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การออกกำลังกายโดยตั้งใจและการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันที่ไม่ใช่การออกกำลังกาย (Non-Exercise Activity Thermogenesis; NEAT) การออกกำลังกายคิดเป็นเพียง 15-30% ของพลังงานในหมวดนี้ ส่วน NEAT กลับคิดเป็น 70-85%
- พลังงานในการย่อยอาหาร (10% ของพลังงานรวม) Thermic Effect of Food (TEF) เป็นพลังงานที่ร่างกายใช้ในการย่อย ดูดซึม ขนส่ง เผาผลาญ และเก็บสะสมอาหาร โปรตีนมี TEF สูงสุด (20-30%) รองลงมาคือคาร์โบไฮเดรต (5-10%) และไขมัน (0-3%)
มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อค่า BMR
การรู้ปัจจัยที่ส่งผลต่อ BMR จะช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไม BMR ของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน และสิ่งใดบ้างที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อปรับปรุงค่า BMR ให้ดีขึ้น
- เพศ เพศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ BMR โดยทั่วไปแล้วผู้ชายจะมี BMR สูงกว่าผู้หญิงประมาณ 5-10% เนื่องจากผู้ชายมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่า มีกระดูกหนักกว่า และมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญ
- อายุ การเพิ่มขึ้นของอายุส่งผลให้ BMR ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะลดลงประมาณ 1-2% ต่อปีหลังอายุ 30 ปี สาเหตุหลักมาจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ การลดลงของฮอร์โมน และการลดลงของกิจกรรมทางกาย
- น้ำหนักและส่วนสูง คนที่มีขนาดใหญ่กว่าจะใช้พลังงานมากกว่า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อมากกว่าที่ต้องการพลังงานในการดำรงชีพ แต่ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เป็นเส้นตรงและขึ้นอยู่กับองค์ประกอบร่างกายด้วย
- มวลกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อใช้พลังงานมากกว่าไขมันประมาณ 3-4 เท่า การมีกล้ามเนื้อมากจึงทำให้ BMR สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือเหตุผลที่การออกกำลังกายแบบต้านทานช่วยเพิ่มการเผาผลาญ
- พันธุกรรมและฮอร์โมน ปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมนไทรอยด์มีผลต่อ BMR ได้ถึง 20-30% ฮอร์โมนไทรอยด์เป็นตัวควบคุมหลักของอัตราการเผาผลาญ หากมีปัญหาจะส่งผลต่อ BMR อย่างชัดเจน
สูตรการคำนวณ BMR มีกี่สูตรอะไรบ้าง

- สูตร Harris-Benedict (ฉบับเก่า)
ผู้ชาย: BMR = 88.362 + (13.397 × น้ำหนัก kg) + (4.799 × ส่วนสูง cm) - (5.677 × อายุ)
ผู้หญิง: BMR = 447.593 + (9.247 × น้ำหนัก kg) + (3.098 × ส่วนสูง cm) - (4.330 × อายุ)
- สูตร Mifflin St Jeor (นิยมใช้มากที่สุด)
ผู้ชาย: BMR = (10 × น้ำหนัก kg) + (6.25 × ส่วนสูง cm) - (5 × อายุ) + 5
ผู้หญิง: BMR = (10 × น้ำหนัก kg) + (6.25 × ส่วนสูง cm) - (5 × อายุ) - 161
สูตรนี้ได้รับการยอมรับว่าแม่นยำที่สุดสำหรับคนทั่วไป และใช้งานง่าย
- สูตร Katch-McArdle (สำหรับคนที่รู้เปอร์เซ็นต์ไขมัน)
BMR = 370 + (21.6 × มวลกล้ามเนื้อ kg)
สูตรนี้แม่นยำสำหรับคนที่ทราบเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย เพราะคำนึงถึงมวลกล้ามเนื้อโดยตรง
ความสำคัญของ BMR ต่อสุขภาพมีอะไรบ้าง
- ช่วยควบคุมน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ การรู้ BMR ช่วยในการคำนวณแคลอรี่ที่ต้องการต่อวัน ทำให้วางแผนการกินและออกกำลังกายได้แม่นยำ ป้องกันการลดแคลอรี่มากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และช่วยให้สร้าง Calorie Deficit หรือก็คือการทำให้แคลอรี่ที่กินเข้าไปน้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน
- วางแผนการกินและออกกำลังกายได้เหมาะสม BMR เป็นพื้นฐานในการคำนวณ Total Daily Energy Expenditure (TDEE) ซึ่งเป็นจำนวนแคลอรี่ทั้งหมดที่ร่างกายใช้ต่อวัน ช่วยให้รู้ว่าควรกินแคลอรี่เท่าไหร่ และออกกำลังกายอย่างไรให้เหมาะสมกับเป้าหมาย
- ป้องกันการอดอาหารที่เป็นอันตราย การรู้ค่า BMR จะช่วยป้องกันไม่ให้รับประทานอาหารน้อยกว่า BMR มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น การชะลอตัวของการเผาผลาญ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน
- เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญ การเข้าใจ BMR จะช่วยให้เลือกวิธีการเพิ่มการเผาผลาญที่เหมาะสม เช่น การเพิ่มกล้ามเนื้อ การกินโปรตีน การออกกำลังกาย และการปรับไลฟ์สไตล์ให้เอื้อต่อการเผาผลาญที่ดี
วิธีเพิ่มค่า BMR ตามธรรมชาติ มีอะไรบ้าง

- เพิ่มมวลกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายแบบต้านทาน (Resistance Training) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเพิ่ม BMR เนื่องจากกล้ามเนื้อใช้พลังงานมากกว่าไขมัน เช่น การยกน้ำหนัก, การออกกำลังกายด้วยน้ำหนักตัว และการฝึกความแข็งแรงจะช่วยสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อ
- ปรับการรับประทานอาหารให้เหมาะสม
แนะนำให้ปรับการกินโปรตีนที่มากขึ้น (25-30% ของแคลอรี่รวม) จะช่วยเพิ่ม TEF และรักษามวลกล้ามเนื้อ รวมถึงการกินมื้อเล็ก ๆ แต่บ่อยครั้ง และการเลือกอาหารที่ต้องใช้พลังงานในการย่อยสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด และธัญพืชเต็มเมล็ด
- ปรับไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสม
การนอนหลับเพียงพอ (7-9 ชั่วโมงต่อคืน) การลดความเครียด การดื่มน้ำเย็น การดื่มชาเขียวหรือกาแฟ และการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็นเล็กน้อย ล้วนช่วยเพิ่มการเผาผลาญ
- เพิ่มกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
การเพิ่ม NEAT ผ่านกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การเดินบันไดแทนลิฟต์ การยืนทำงานบ้าง การจอดรถไกล ๆ การทำงานบ้าน หรือแม้กระทั่งการส่ายขาขณะนั่งจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้มาก
อะไรคือคำแนะนำการใช้ค่า BMR ในชีวิตประจำวัน
- การวางแผนอาหารตาม BMR
อย่าลดแคลอรี่ต่ำกว่า BMR เนื่องจากจะทำให้ร่างกายขาดพลังงานพื้นฐาน ควรคำนวณ TDEE แล้วลดแคลอรี่ 10-20% เพื่อลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย หรือเพิ่มแคลอรี่ 5-10% เพื่อเพิ่มน้ำหนัก
- การติดตามและปรับปรุง BMR
ควรคำนวณ BMR ใหม่ทุก 3-6 เดือนเมื่อน้ำหนักหรือองค์ประกอบร่างกายเปลี่ยนแปลง การติดตามความคืบหนาและปรับแผนตามผลลัพธ์จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพ
- เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
หาก BMR ต่ำผิดปกติ มีปัญหาเรื่องน้ำหนักที่ไม่สามารถแก้ไขได้ มีอาการเหนื่อยล้าผิดปกติ หรือสงสัยว่ามีปัญหาทางฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์ นักโภชนาการ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกาย
BMR คือ กุญแจสำคัญในการเข้าใจร่างกายของตัวเองและการวางแผนดูแลสุขภาพอย่างมีวิทยาศาสตร์ การรู้ Basal metabolic rate คืออะไรจะช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายที่สมจริง วางแผนการกินที่เหมาะสม และเลือกวิธีการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ
การใช้ค่า BMR คือเครื่องมือในการดูแลสุขภาพควรทำอย่างสมเหตุสมผล ไม่ใช่การจำกัดตัวเองอย่างรุนแรง การมีสุขภาพดีคือการสร้างสมดุลระหว่างการกิน การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเหมาะสม
Reference:
- https://hdmall.co.th/blog/BMR-calculator/
- https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1472
- https://my.clevelandclinic.org/health/body/basal-metabolic-rate-BMR
- https://www.pobpad.com/รู้จักกับ-BMR-body-metabolic-rate-หุ่นสวยด้ว
- https://www.thaisook.org/2023/09/28/BMR/
- https://amara-clinic.com/BMR-basal-metabolic-rate-calculator/
- https://aminterhospital.com/what-is-BMR/


