Ajinomoto Thailand

เคล็ดลับดื่มน้ำอย่างถูกวิธี ควรดื่มน้ำวันละกี่ลิตรให้ร่างกายสมดุล

13/11/2025
eye
108
|

การดื่มน้ำเป็นเรื่องที่ดูง่ายแต่สำคัญมากในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ควรดื่มน้ำวันละกี่ลิตรถึงจะเพียงพอต่อร่างกาย หรือคนเราควรกินน้ำวันละกี่ลิตรเพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำถามเหล่านี้อาจฟังดูธรรมดา แต่การหาคำตอบที่ถูกต้องสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของเราได้อย่างมาก
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่เหมาะสมสำหรับร่างกาย พร้อมแนะแนวทางการดื่มน้ำให้ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสูงสุด

ทำไมน้ำจึงสำคัญต่อร่างกาย

คนเราควรกินน้ำวันละกี่ลิตรเพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

น้ำมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกายในหลายด้าน เริ่มจากการเป็นตัวกลางในการละลายสารอาหารและการขนส่งสารต่าง ๆ ไปยังเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย น้ำยังช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร และการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
นอกจากนี้ น้ำยังทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิร่างกายผ่านกระบวนการระบายความร้อนด้วยเหงื่อและการหายใจ ช่วยให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่นด้วยการเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำไซโนเวียล และยังคงความชุมชื้นให้กับผิวหนัง เยื่อบุ และอวัยวะภายใน
เมื่อร่างกายขาดน้ำ อวัยวะต่าง ๆ จะทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อยล้า ปวดหัว ท้องผูก และอาจเป็นอันตรายต่อไตและหัวใจได้ในระยะยาว

ร่างกายควรได้รับปริมาณน้ำที่ต่อวันเท่าไหร่

การตอบคำถาม ควรกินน้ำวันละกี่ลิตรนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำประมาณ 2-3 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 8-12 แก้วต่อวัน

1. ปริมาณแนะนำตามกลุ่มอายุ

สำหรับเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน ควรได้รับน้ำจากน้ำนมแม่หรือนมผงเป็นหลัก โดยไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าเพิ่มเติม เด็กอายุ 7-12 เดือน ควรดื่มน้ำประมาณ 0.8-1 ลิตรต่อวัน เด็กอายุ 1-3 ปี ควรดื่ม 1-1.3 ลิตรต่อวัน
เด็กอายุ 4-8 ปี ควรดื่มน้ำ 1.2-1.7 ลิตรต่อวัน เด็กและวัยรุ่นอายุ 9-13 ปี ควรดื่ม 1.8-2.1 ลิตรต่อวัน สำหรับวัยรุ่นอายุ 14-18 ปี ควรดื่ม 2.3-2.6 ลิตรต่อวัน และผู้ใหญ่อายุ 19 ปีขึ้นไป ควรดื่ม 2.2-3 ลิตรต่อวัน

2.    ความแตกต่างระหว่างเพศชายและเพศหญิง

โดยทั่วไปเพศชายมักจะต้องการน้ำมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าและมีอัตราการเผาผลาญสูงกว่า ในวัยผู้ใหญ่ ผู้ชายควรดื่มน้ำประมาณ 2.6-3 ลิตรต่อวัน ในขณะที่ผู้หญิงควรดื่มประมาณ 2.2-2.6 ลิตรต่อวัน
สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ควรเพิ่มปริมาณน้ำเป็น 2.3-2.8 ลิตรต่อวัน และในหญิงให้นมบุตร ควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 3-3.8 ลิตรต่อวัน เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปในกระบวนการให้นมลูก

3.    สูตรการคำนวณตามน้ำหนักตัว

สูตรง่าย ๆ ในการคำนวณปริมาณน้ำที่ควรดื่มต่อวันคือ น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) คูณด้วย 30-35 มิลลิลิตร ตัวอย่างเช่น หากน้ำหนัก 60 กิโลกรัม ควรดื่มน้ำ 1.8-2.1 ลิตรต่อวัน หากน้ำหนัก 70 กิโลกรัม ควรดื่ม 2.1-2.45 ลิตรต่อวัน
สูตรนี้เป็นการคำนวณพื้นฐาน ซึ่งอาจต้องปรับเพิ่มหรือลดตามปัจจัยอื่น ๆ เช่น กิจกรรมการออกกำลังกาย สภาพอากาศ หรือสภาวะสุขภาพ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการน้ำของร่างกายมีอะไรบ้าง

คนเราควรกินน้ำวันละกี่ลิตรเพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การตอบคำถาม ควรดื่มน้ำวันละกี่ลิตร ไม่สามารถใช้ตัวเลขเดียวกันได้กับทุกคน เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อความต้องการน้ำของแต่ละบุคคล

1. เพศ เพศชายมักต้องการน้ำมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่า ฮอร์โมนเทสโทสเตอรอนในเพศชายยังส่งเสริมการสร้างกล้ามเนื้อและการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ต้องการน้ำเพื่อช่วยกระบวนการเหล่านี้

2. กิจกรรม ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนักอาจต้องดื่มน้ำเพิ่ม 500-1,000 มิลลิลิตร ต่อชั่วโมงของการออกกำลังกาย นักกีฬาหรือผู้ที่ทำงานกลางแจ้งอาจต้องดื่มน้ำมากถึง 4-6 ลิตรต่อวัน

3. สภาพอากาศ ในวันที่อากาศร้อนหรือความชื้นสูง ร่างกายต้องระบายความร้อนผ่านเหงื่อมากขึ้น การอยู่ในที่สูงทำให้หายใจเร็วขึ้นและเสียน้ำผ่านปอด อากาศแห้งทำให้น้ำระเหยจากผิวหนังและทางเดินหายใจเร็วขึ้น แนะนำให้ดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปและป้องกันการขาดน้ำ

4. สุขภาพ เมื่อร่างกายเจ็บป่วยด้วยอาการไข้ อาเจียน ท้องเสีย หรือการติดเชื้อทำให้ร่างกายเสียน้ำมากกว่าปกติ รวมถึงโรคไตหรือหัวใจที่อาจต้องควบคุมปริมาณน้ำ นอกจากนี้การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะหรือยาขับปัสสาวะ ส่งผลต่อความต้องการน้ำ รวมถึงในหญิงตั้งครรภ์และให้นมที่ต้องการน้ำเพิ่มขึ้น

สัญญาณของร่างกายที่บอกว่าขาดน้ำมีอะไรบ้าง

การรู้จักสัญญาณของร่างกายที่แสดงให้เห็นถึงการขาดน้ำเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถดื่มน้ำเพิ่มได้ทันท่วงที สัญญาณแรกและง่ายที่สุดคือความกระหาย แต่เมื่อรู้สึกกระหายแสดงว่าร่างกายเริ่มขาดน้ำแล้ว
สีปัสสาวะเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีของสถานะน้ำในร่างกาย ปัสสาวะที่มีสีใสหรือเหลืองอ่อนแสดงว่าร่างกายมีน้ำเพียงพอ หากปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มหรือส้มแสดงว่าขาดน้ำ การปัสสาวะน้อยกว่าปกติหรือไม่บ่อยเท่าที่ควรก็เป็นสัญญาณเตือน
อาการอื่น ๆ ที่บ่งชี้การขาดน้ำ ได้แก่ ปากและลิ้นแห้ง ผิวหนังแห้งและไม่ยืดหยุ่น เมื่อหยิกผิวหนังแล้วกลับคืนตัวช้า ตาอ่อนแรงหรือลึกเข้าไป ความดันโลหิตต่ำ การเหนื่อยล้าง่าย วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว ไม่มีสมาธิ และอารมณ์แปรปรวน

วิธีการดื่มน้ำที่ถูกต้องทำอย่างไร

การดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์สูงสุดไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการ เวลา และประเภทของน้ำที่เราเลือกดื่ม

1. เวลาที่เหมาะสมในการดื่มน้ำ

เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำ 1-2 แก้ว หลังตื่นนอนเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไประหว่างนอน และดื่มน้ำเป็นระยะ ๆ ตลอดวัน แทนที่จะดื่มครั้งละมาก ๆ ในช่วงก่อนออกกำลังกาย ระหว่าง และหลังออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ดื่มน้ำ 1-2 ชั่วโมงก่อนนอนและหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากก่อนนอนโดยตรงเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับ

2. ปริมาณและความถี่ที่เหมาะสม

แทนที่จะดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ ควรแบ่งดื่มเป็นครั้งเล็ก ๆ ตลอดวัน ประมาณครั้งละ 150-250 มิลลิลิตร หรือประมาณ 1 แก้วน้ำ ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง การดื่มน้ำเป็นระยะ ๆ จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมน้ำได้ดีกว่าและไม่ทำให้ไตทำงานหนักเกินไป

3. อุณหภูมิน้ำและประเภทน้ำที่แนะนำ

น้ำที่มีอุณหภูมิปกติหรือเย็นเล็กน้อยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด น้ำเปล่าคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการดื่มประจำวัน น้ำแร่ธรรมชาติให้แร่ธาตุเพิ่มเติม แต่ไม่จำเป็นสำหรับคนทั่วไป น้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลไม่ควรนับรวมในปริมาณน้ำประจำวัน

ผลกระทบจากการดื่มน้ำน้อยเกินไปและมากเกินไปมีอะไรบ้าง

การดื่มน้ำในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะน้อยหรือมากเกินไป ล้วนส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งสิ้น

1. ผลกระทบจากภาวะขาดน้ำ

การขาดน้ำในระยะสั้นทำให้เกิดอาการปวดหัว เหนื่อยล้า วิงเวียน ไม่มีสมาธิ ปากแห้ง ท้องผูก และการทำงานของไตไม่มีประสิทธิภาพ  
ส่วนในระยะยาว การขาดน้ำเรื้อรังอาจนำไปสู่ปัญหาไตวาย นิ่วในไต การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ปัญหาหัวใจ ความดันโลหิตสูง ปัญหาการย่อยอาหาร และทำให้ผิวหนังแก่เร็วขึ้น ความเสี่ยงเหล่านี้เพิ่มขึ้นเมื่อร่างกายขาดน้ำเป็นประจำ

2. อันตรายจากการดื่มน้ำมากเกินไป

การดื่มน้ำมากเกินไปในเวลาสั้น ๆ อาจทำให้เกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Water Intoxication) ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต และไตทำงานหนักเกินไป กระดูกและฟันอ่อนแอจากการขาดแร่ธาตุ ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ และเกิดภาวะไฟฟ้าในร่างกายไม่สมดุล ปริมาณน้ำที่เสี่ยงต่อการเป็นพิษคือมากกว่า 1 ลิตรต่อชั่วโมงหรือมากกว่า 6 ลิตรต่อวัน

เคล็ดลับการดื่มน้ำให้ครบตามเป้าหมายต้องทำอย่างไร

คนเราควรกินน้ำวันละกี่ลิตรเพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำให้การดื่มน้ำเป็นนิสัยที่ดีต้องใช้เทคนิคและเครื่องมือช่วย เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับน้ำในปริมาณที่เหมาะสมทุกวัน

1. วิธีจดจำและติดตามปริมาณน้ำ

การใช้แอปพลิเคชันติดตามการดื่มน้ำในมือถือช่วยให้จดจำและแจ้งเตือนการดื่มน้ำได้ดี การตั้งนาฬิกาปลุกทุก ๆ 1-2 ชั่วโมงเพื่อเตือนดื่มน้ำ การเขียนบันทึกการดื่มน้ำในสมุดหรือปฏิทิน การใช้ขวดน้ำที่มีการวัดปริมาณชัดเจน

2. การเลือกภาชนะและอุปกรณ์ช่วย

แนะนำให้เลือกใช้ขวดน้ำส่วนตัวที่มีความจุประมาณ 500-750 มิลลิลิตร พกพาง่ายและมีการบอกปริมาณชัดเจน หรือขวดน้ำที่มีหลอดดูดช่วยให้ดื่มน้ำได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น รวมถึงการเลือกแก้วน้ำที่สีสันสวยงามและขนาดที่เหมาะสมสำหรับวางบนโต๊ะทำงาน
การดื่มน้ำให้เพียงพอและถูกวิธีเป็นพื้นฐานสำคัญของการดูแลสุขภาพที่ดี ควรดื่มน้ำวันละกี่ลิตรนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำประมาณ 2-3 ลิตรต่อวัน หรือคำนวณจากน้ำหนักตัวคูณด้วย 30-35 มิลลิลิตร
สิ่งสำคัญคือการฟังร่างกายและสังเกตสัญญาณที่บ่งบอกความต้องการน้ำ การดื่มน้ำเป็นระยะ ๆ ตลอดวันดีกว่าการดื่มครั้งเดียวมาก ๆ และควรปรับปริมาณตามกิจกรรม สภาพอากาศ และสุขภาพของตนเอง
การสร้างนิสัยการดื่มน้ำที่ดีต้องใช้เวลาและความตั้งใจ แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตคุ้มค่ากับความพยายาม เริ่มต้นวันนี้ด้วยการตั้งเป้าหมายการดื่มน้ำที่เหมาะสมกับตัวคุณ และค่อย ๆ ปรับเป็นนิสัยประจำวัน ร่างกายของคุณจะขอบคุณสำหรับการดูแลที่ดีนี้

Reference: 
-    https://hdmall.co.th/blog/water-intake-calculator/ 
-    https://ch9airport.com/th/จริง- ๆ-แล้ว-เราควรดื่มน้/ 
-    https://www.pobpad.com/ดื่มน้ำ-ยิ่งเยอะ-ยิ่งดีจ 
-    https://www.sikarin.com/health/ดื่มน้ำเท่าไหร่ 

เราให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กับผู้ใช้ ท่านตกลงใช้คุกกี้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ต่อไป ดูรายละเอียด นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ข้อตกลงและเงื่อนไขสำหรับเว็บไซต์ของเรา