Ajinomoto Thailand

เกลือแร่ต่ำเกิดจากอะไร? รู้ทันโซเดียมต่ำอาการที่นักวิ่งต้องระวัง

12/12/2025
eye
373
|

สำหรับหลายคน “การวิ่ง” คือช่วงเวลาที่ได้ปลดปล่อย ได้ฟังเสียงลมหายใจของตัวเอง และได้ดูแลสุขภาพ แต่รู้ไหมว่าการดื่มน้ำผิดวิธีระหว่างวิ่ง อาจกลายเป็น “จุดเสี่ยง” โดยไม่รู้ตัว

บางคนดื่มน้ำมากเพราะกลัวขาดน้ำ บางคนดื่มทุกจุดเช็กพอยต์โดยไม่ได้สังเกตว่าเหงื่อออกมากน้อยแค่ไหน ผลคือร่างกายอาจ “เจือจางโซเดียมในเลือด” จนเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “โซเดียมในเลือดต่ำ” (Hyponatremia) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเวียนหัว หน้ามืด หรือในบางกรณีรุนแรงถึงขั้นหมดสติได้

บทความนี้จะพาคุณไปเข้าใจว่า “ภาวะเกลือแร่ต่ำ” เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมนักวิ่งถึงเสี่ยงกว่าคนทั่วไป และจะป้องกันได้ยังไงให้วิ่งได้ไกลขึ้นอย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวล้มกลางทาง

โซเดียมคืออะไร และมีหน้าที่สำคัญอย่างไรในร่างกาย

โซเดียมคือแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อ “สมดุลของเหลว” ในร่างกาย และการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เมื่อระดับโซเดียมอยู่ในเกณฑ์ปกติ ร่างกายจะสามารถควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยให้หัวใจเต้นในจังหวะที่สม่ำเสมอ

ในระหว่างที่เราวิ่ง เหงื่อที่ออกไม่ได้มีแค่น้ำ แต่ยังมีโซเดียมปนออกไปด้วย หากดื่มน้ำมากเกินไปโดยไม่ชดเชยเกลือแร่ ระดับโซเดียมในเลือดจะ “เจือจางลง” ทำให้ร่างกายเสียสมดุล อาจเกิดอาการอ่อนแรง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ หรือแม้แต่หมดสติได้

พูดง่าย ๆ คือ โซเดียมเป็นแร่ธาตุที่ช่วยให้ร่างกายเราทำงานได้อย่างสมดุล โดยเฉพาะเวลาที่ต้องออกแรงอย่างหนักเช่น “การวิ่งระยะไกล” ที่ร่างกายสูญเสียทั้งเหงื่อและเกลือแร่มากกว่าปกติ

ทำไม "เกลือแร่" ถึงสำคัญต่อร่างกายนักวิ่ง?

เกลือแร่ โดยเฉพาะโซเดียม เป็นสารอิเล็กโทรไลต์ที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย ช่วยรักษาความดันเลือดให้คงที่ และช่วยให้กล้ามเนื้อและเซลล์ประสาททำงานได้อย่างปกติ สำหรับนักวิ่ง เกลือแร่เป็นตัวช่วยสำคัญในการป้องกันอาการเกลือแร่ต่ำ เช่น เป็นตะคริว อ่อนเพลีย และมีปัญหาด้านการทรงตัว

เมื่อคุณวิ่งหรือออกกำลังกายอย่างหนัก ร่างกายจะสูญเสียทั้งน้ำและเกลือแร่ผ่านทางเหงื่อ โดยเฉพาะโซเดียม หากคุณทดแทนเพียงแค่น้ำโดยไม่เติมเกลือแร่ จะทำให้ความเข้มข้นของโซเดียมในเลือดเจือจางลง นำไปสู่ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำที่เป็นอันตรายได้

ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) คืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ภาวะโซเดียมต่ำอาการ (Hyponatremia) คืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ หรือ Hyponatremia คือภาวะที่มีระดับโซเดียมในเลือดต่ำกว่า 135 mEq/L ซึ่งเป็นระดับที่ปกติในคนทั่วไป ภาวะนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ในนักวิ่งภาวะเกลือแร่ต่ำส่วนใหญ่มาจากการดื่มน้ำมากเกินไป (Water Intoxication) โดยไม่ได้ทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียไป

เมื่อระดับโซเดียมในเลือดลดลง น้ำจะเคลื่อนเข้าสู่เซลล์มากขึ้นตามหลักออสโมซิส ทำให้เซลล์บวม โดยเฉพาะเซลล์ในสมอง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการทางระบบประสาทที่รุนแรงได้ ในกรณีร้ายแรง อาจทำให้สมองบวม กดการหายใจ และเสียชีวิตได้

สาเหตุของภาวะโซเดียมในเลือดต่ำในนักกีฬา มีอะไรบ้าง

การที่นักกีฬาโดยเฉพาะนักวิ่งเกิดภาวะเกลือแร่ต่ำนั้น มีปัจจัยเฉพาะที่แตกต่างจากคนทั่วไป ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสาเหตุหลักได้ดังนี้

  1. การดื่มน้ำมากเกินไประหว่างออกกำลังกาย

ความเชื่อที่ว่า "ยิ่งดื่มน้ำมาก ยิ่งดี" เป็นความเข้าใจผิดที่อันตรายในวงการกีฬา นักวิ่งหลายคนพยายามหลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำด้วยการดื่มน้ำปริมาณมากก่อนและระหว่างการวิ่ง โดยไม่ได้คำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงของร่างกาย การดื่มน้ำมากเกินไปโดยไม่มีการทดแทนเกลือแร่ ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "น้ำเป็นพิษ" (Water Intoxication) ซึ่งเจือจางระดับโซเดียมในเลือดอย่างรวดเร็ว

  1. การสูญเสียเกลือแร่ผ่านเหงื่อมากเกินไป

นักกีฬาแต่ละคนมีอัตราการสูญเสียเกลือแร่ผ่านเหงื่อที่แตกต่างกัน บางคนมีเหงื่อที่เค็มกว่าคนอื่น (เรียกว่า "Salty Sweater") ซึ่งหมายถึงการสูญเสียโซเดียมมากกว่าคนทั่วไปในการออกกำลังกายที่เท่ากัน คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะโซเดียมต่ำหากไม่ได้รับการทดแทนเกลือแร่อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อนและชื้น

  1. การออกกำลังกายที่ยาวนานและหนักหน่วง

การแข่งขันมาราธอน อัลตรามาราธอน หรือไตรกีฬาที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโซเดียมต่ำอย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งออกกำลังกายนาน ร่างกายยิ่งสูญเสียโซเดียมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากนักกีฬาดื่มเฉพาะน้ำเปล่าตลอดการแข่งขัน โดยไม่มีการทดแทนเกลือแร่ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเกลือแร่ต่ำอาการอาจรุนแรง

  1. ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโซเดียมต่ำในนักกีฬา เช่น

  • การใช้ยาขับปัสสาวะ ซึ่งเพิ่มการขับโซเดียมออกจากร่างกาย
  • โภชนาการก่อนแข่งที่จำกัดเกลือ ทำให้เริ่มต้นด้วยระดับโซเดียมต่ำ
  • ยาบางชนิด เช่น ยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม SSRI ที่อาจส่งผลต่อการควบคุมโซเดียมในร่างกาย
  • ผู้หญิงมีแนวโน้มจะเกิดภาวะนี้มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีรูปร่างเล็ก
  • ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ เช่น โรคแอดดิสัน หรือภาวะต่อมหมวกไตทำงานไม่เพียงพอ

การรับรู้และเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นก้าวแรกในการป้องกันภาวะเกลือแร่ต่ำที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับนักกีฬา

ทำไมนักวิ่งถึงมีความเสี่ยงเกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำมากกว่าคนทั่วไป?

นักวิ่ง โดยเฉพาะนักวิ่งมาราธอนหรือนักวิ่งระยะไกล มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโซเดียมต่ำอาการหนัก ๆ ด้วยปัจจัยดังนี้

  1. ความเชื่อผิด ๆ เรื่องการดื่มน้ำ: หลายคนเชื่อว่าต้องดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การดื่มน้ำมากเกินไป
  2. ความแตกต่างของการสูญเสียเกลือแร่: แต่ละคนสูญเสียเกลือแร่ในอัตราที่แตกต่างกัน บางคนเสียมากกว่าคนอื่น (คนที่เหงื่อเค็ม)
  3. การออกกำลังกายนาน: การวิ่งระยะไกลทำให้สูญเสียเกลือแร่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
  4. สภาพอากาศร้อน: อากาศร้อนทำให้เหงื่อออกมากขึ้น เพิ่มการสูญเสียเกลือแร่
  5. ระยะเวลาการแข่งขัน: การแข่งขันที่ใช้เวลานานหลายชั่วโมงเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะนี้

เกลือแร่ต่ำมีอาการยังไง? จะรู้ได้อย่างไรว่ากำลัง "โซเดียมต่ำ"?

เกลือแร่ต่ำมักเริ่มต้นด้วยอาการไม่ชัดเจนและอาจสับสนกับอาการเหนื่อยล้าทั่วไป แต่เมื่อระดับโซเดียมลดลงมากขึ้น อาการจะรุนแรงขึ้นตามลำดับ

อาการเบื้องต้น:

  • รู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดศีรษะ
  • กล้ามเนื้อกระตุก เป็นตะคริว
  • หงุดหงิดง่าย สับสน
  • หิวน้ำทั้งที่ดื่มน้ำไปมากแล้ว

อาการรุนแรง:

  • สับสน มึนงง
  • ประสาทหลอน
  • ชัก
  • หมดสติ
  • อาการทางสมอง (เช่น โคม่า)
  • หายใจลำบาก
  • เสียชีวิตในกรณีรุนแรง

อาการโซเดียมต่ำที่ควรระวังเป็นพิเศษคือ อาการทางสมองที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น สับสน พูดไม่ชัด หรือเดินเซ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องได้รับการช่วยเหลือทันที

ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำอันตรายแค่ไหน?

ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (Acute Hyponatremia) อันตรายที่สำคัญที่สุดคือการเกิดภาวะสมองบวม (cerebral edema) เมื่อน้ำเคลื่อนเข้าสู่เซลล์สมองมากเกินไป ทำให้เนื้อสมองบวม และกดการทำงานของส่วนก้านสมอง ซึ่งควบคุมการหายใจและการทำงานของหัวใจ ในนักวิ่งมาราธอนหรือไตรกีฬา มีรายงานผู้เสียชีวิตจากภาวะนี้หลายราย และมักเกิดขึ้นเพราะอาการเริ่มต้นมักถูกมองข้ามหรือเข้าใจผิดว่าเป็นอาการเหนื่อยล้าจากการออกกำลังกาย

การป้องกันภาวะโซเดียมต่ำระหว่างวิ่งทำได้อย่างไร?

การป้องกันเกลือแร่ต่ำ เป็นสิ่งสำคัญที่นักวิ่งทุกคนควรทราบ

  1. ดื่มน้ำอย่างชาญฉลาด: ไม่ใช่ดื่มเยอะแค่ไหนก็ได้ แต่ควรดื่มตามความกระหายและภาวะการสูญเสียเหงื่อ
  2. เสริมเกลือแร่: ใช้เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬาโดยเฉพาะเมื่อวิ่งนานกว่า 60-90 นาที
  3. ทดสอบน้ำหนักก่อนและหลังวิ่ง: น้ำหนักที่ลดลง 2-3% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ หากไม่ลดลงหรือเพิ่มขึ้น แสดงว่าคุณอาจดื่มน้ำมากเกินไป
  4. กินอาหารเค็มเล็กน้อยก่อนวิ่งระยะไกล: เพื่อเพิ่มระดับโซเดียมในร่างกาย
  5. รู้จักร่างกายตัวเอง: บางคนสูญเสียเกลือแร่มากกว่าคนอื่น ซึ่งต้องการการทดแทนเกลือแร่มากกว่า

ถ้ามีอาการโซเดียมต่ำระหว่างวิ่ง ควรทำยังไงดี?

หากคุณหรือเพื่อนร่วมวิ่งมีโซเดียมต่ำระหว่างวิ่ง ควรปฏิบัติดังนี้

  1. หยุดออกกำลังกายทันที: เพื่อลดการทำงานของร่างกายและชะลอกระบวนการสูญเสียเกลือแร่เพิ่มเติม
  2. ดื่มเครื่องดื่มที่มีเกลือแร่: เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬา หรือน้ำเกลือแร่
  3. รับประทานอาหารเค็ม: เช่น เกลือ ขนมขบเคี้ยวเค็ม หรือซุปเค็ม
  4. ไปพบแพทย์ทันที: หากมีอาการรุนแรง เช่น สับสน ชัก หรือหมดสติ

การรักษาทางการแพทย์จะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ในกรณีเล็กน้อย การจำกัดการดื่มน้ำและเพิ่มการบริโภคเกลืออาจเพียงพอ แต่ในกรณีรุนแรง อาจต้องให้สารละลายน้ำเกลือทางหลอดเลือดดำในโรงพยาบาล

การปฐมพยาบาลและการรักษามีอะไรบ้าง

เมื่อพบว่ามีผู้ประสบภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ การตัดสินใจที่รวดเร็วและถูกต้องสามารถช่วยชีวิตได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์การแข่งขันกีฬาหรือกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งนี้วิธีการรักษาจะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของอาการ

  1. การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

  • หยุดการดื่มน้ำเปล่าทันที: เมื่อสงสัยว่าอาจมีภาวะโซเดียมต่ำ ควรหยุดการดื่มน้ำเปล่าเพราะจะยิ่งทำให้อาการแย่ลง
  • ให้สารละลายเกลือแร่: ให้ดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬาโดยเฉพาะ หรือสารละลายเกลือแร่ที่มีโซเดียมเข้มข้น
  • รับประทานอาหารที่มีเกลือ: ให้รับประทานอาหารเค็มเล็กน้อย เช่น ขนมขบเคี้ยวที่มีเกลือ ซุปเค็ม หรือเกลือผสมน้ำ
  • พักในที่ร่ม: นำผู้ป่วยเข้าที่ร่ม นั่งพักหรือนอนพักในท่าที่สบาย
  • ติดตามสัญญาณชีพ: สังเกตอาการ ระดับการรู้สติ และความดันโลหิตหากมีอุปกรณ์
  • โทรเรียกความช่วยเหลือ: หากมีอาการรุนแรง เช่น ซึม สับสน ชัก หรือหมดสติ ให้รีบโทรเรียกหน่วยกู้ชีพหรือนำส่งโรงพยาบาลทันที
  1. การรักษาทางการแพทย์

  • การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ: ในกรณีรุนแรง แพทย์จะให้สารน้ำที่มีความเข้มข้นของโซเดียมสูง (Hypertonic Saline) ทางหลอดเลือดดำเพื่อเพิ่มระดับโซเดียมในเลือดอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • การตรวจติดตามระดับเกลือแร่: การตรวจเลือดซ้ำเพื่อติดตามระดับโซเดียมและอิเล็กโทรไลต์อื่น ๆ
  • การจำกัดน้ำ: จำกัดการรับน้ำเข้าร่างกายเพื่อป้องกันไม่ให้โซเดียมเจือจางลงไปอีก
  • การให้ยา: บางกรณีอาจมีการให้ยาขับปัสสาวะชนิดพิเศษที่ช่วยให้ร่างกายขับน้ำออกโดยไม่ขับโซเดียมออกมาด้วย
  • การดูแลระบบหายใจ: ในกรณีรุนแรงที่มีอาการทางสมอง อาจจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  1. ระยะเวลาการฟื้นตัว

  • กรณีเล็กน้อย: ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง มักฟื้นตัวได้เร็วภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังจากได้รับการรักษาที่เหมาะสม
  • กรณีรุนแรง: สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ชัก หรือหมดสติ อาจต้องใช้เวลาหลายวันถึงสัปดาห์ในการฟื้นฟูสมบูรณ์
  • การกลับมาออกกำลังกาย: นักกีฬาที่เคยมีภาวะโซเดียมต่ำควรปรึกษาแพทย์ก่อนกลับมาออกกำลังกายอีกครั้ง โดยทั่วไปควรพักฟื้นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์สำหรับกรณีเล็กน้อย และอาจต้องพักนานกว่านั้นสำหรับกรณีรุนแรง
  • การติดตามผล: ควรมีการตรวจเลือดติดตามหลังการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าระดับโซเดียมกลับสู่ภาวะปกติและคงที่

ป้องกันภาวะเกลือแร่ต่ำอย่างยั่งยืน คือสิ่งที่นักวิ่งควรทำ

การรู้เท่าทันอาการเกลือแร่ต่ำเป็นทักษะสำคัญที่นักวิ่งทุกคนควรมี การดื่มน้ำไม่ใช่เพียงแค่ปริมาณที่มาก แต่ต้องสมดุลกับการทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียไปด้วย นักวิ่งที่ฉลาดจะไม่ดื่มตามกำหนดเวลาตายตัวหรือปริมาณที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แต่จะรู้จักฟังร่างกายตัวเอง เข้าใจอัตราการสูญเสียเหงื่อของตน และปรับการบริโภคน้ำและเกลือแร่ตามสภาพแวดล้อมและความต้องการเฉพาะบุคคล

เพราะในโลกของนักวิ่ง การเข้าใจร่างกายตัวเองและการตอบสนองต่อความต้องการอย่างถูกต้องไม่ใช่เพียงเรื่องของประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเรื่องของความปลอดภัยที่ไม่ควรมองข้าม

Reference:

เราให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กับผู้ใช้ ท่านตกลงใช้คุกกี้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ต่อไป ดูรายละเอียด นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ข้อตกลงและเงื่อนไขสำหรับเว็บไซต์ของเรา